top of page
ค้นหา
  • รูปภาพนักเขียนFood Addicts - เสพติดการกิน

รีวิว "Warng Warng" (ว่างว่าง) ร้านชาบูหม่าล่าไต้หวันซุปสมุนไพรแน่นๆในหม้อไฮเทค อยู่ในซอยสุขุมวิท 33

อัปเดตเมื่อ 1 ก.ค. 2566



วันนี้ผมกับแฟนพากันมาทานร้านชาบูหม่าล่าสูตรไต้หวันต้นตำรับแท้อยู่ภายในซอยสุขุมวิท 33 นั่นคือ "Warng Warng Original Taiwan Mala" ซึ่งอ่านว่า "ว่างว่าง" เพราะช่วงนี้เห็นมีรีวิวออกมายั่วสายหม่าล่าตัวจริงบนเพจใหญ่บ่อยๆแน่นอนว่าเราต้องไม่พลาด จุดเด่นของร้านนี้มีหลายอย่างเริ่มจากน้ำซุปทำจากสมุนไพรจีนสดๆต้มใหม่ทุกวันในกับกระดูกวัวนานกว่า 6 ชั่วโมงจัดเต็มไปด้วยเครื่องเทศรวมกว่า 21 ชนิด นอกจากนี้ยังมีน้ำซุปโสมและมะเขือเทศเทใส่ลงในหม้อ 3 ช่องขนาดใหญ่สุดไฮเทคมีระบบยกตะแกรงขึ้นให้อัตโนมัติไม่ต้องเรียกหาตะกร้อลวกอีกต่อไปมีข้อดีคือใส่วัตถุดิบอะไรลงไปก็หาเจอไม่ต้องงมให้เสียเวลา วิธีการเดินทางหากมาด้วยรถยนต์ส่วนตัวให้ปักหมุดบนแผนที่มาโรงแรม "The Bless Recidence" จอดฟรี 2 ชั่วโมงแรก (ชั่วโมงต่อไปคิดราคาชั่วโมงละ 50 บาท) หากเดินทางมาด้วยบริการขนส่งสาธารณะก็ถือว่าสะดวกลง BTS สถานีพร้อมพงษ์ แล้วเดินเท้าต่อมาที่ร้านอีกประมาณ 450 เมตรจะพบกับทางเข้าโรงแรมอยู่ตรงด้านขวามือมองเข้าไปจะพบกับป้ายชื่อ "Warng Warng" มีสัญลักษณ์หม้อต้มสีขาวพร้อมควันแดงลอยออกมาล้อมรอบแบบนี้แสดงว่าถึงแล้ว เรียกว่าเป็นร้านลับก็ได้เพราะต้องตั้งใจเพื่อมาทานจริงถึงจะรู้ว่ามีชาบูหม่าล่าตั้งอยู่ตรงนี้ด้วย จะอร่อยสมกับที่ดิ้นรนมาหรือไม่เดี๋ยวเข้าไปพิสูจน์พร้อมๆกันครับ

หน้าร้านเขียนเอาไว้ว่าราคาเริ่มต้นชุดละ 490 บาทพร้อมชุดหม่าล่าพร้อมทานเสิร์ฟเป็นหม้อเล็กๆราคาเริ่มต้นที่ 198 บาทก็ถือว่าไม่แพงนัก เข้ามาด้านในก็จะเจอกับป้ายไฟนีออนตรงประตูทางเข้าเป็นฉากสีดำสนิททำไว้ให้ยืนถ่ายรูปสวยๆ ส่วนบรรยากาศภายในตกแต่งสไตล์ Luxury เป็นหลักผสม Loft และเพิ่มกลิ่นอายจีนลงไปนิดหน่อย เริ่มจากเฟอร์นิเจอร์เน้นโซฟาสีเขียวอมฟ้าขนาดใหญ่หลายแถวเรียงเต็มร้าน/เก้าอี้ก็เป็นแบบโมเดิร์นโอบรับกับแผ่นหลังนั่งสบาย/โต๊ะทำจากแผ่นหินอ่อนสีขาวเจาะรูตรงกลางใส่หม้อไฟฟ้ากว้างพิเศษหรูหราสมกับเป็นสไตล์ Luxury ตัดกับผนัง-กำแพงบางส่วนเป็นแบบปูนเปลือยและอิฐแดงพร้อมภาพวาด Street Art รูปหญิงสาวชาวจีนใส่ชุดพร้อมแต่งงานและโคมไฟห้อยระย้าทำจากผ้าหลากหลายสีสัน เป็นการผสมสไตล์ Loft และวัฒนธรรมจีนได้อย่างลงตัวดีหน้าต่างบานใหญ่เปิดรับแสงธรรมชาติผสมกับไฟดวงนี้ส้มในร้านให้ความอบอุ่นชวนนั่งสบายไม่รู้สึกอึดอัด ส่วนจะมีเมนูอะไรให้เราสั่งทานบ้างนั้นจัดการหาที่นั่งให้เรียบร้อยและขอเล่มเมนูจากน้องพนักงานมาดูบนโต๊ะกันก่อนเลยครับ

มาถึงน้องพนักงานก็แนะนำให้เราถ่ายรูปเช็กอินลง Social ช่องทางใดก็ได้พร้อมติด #WarngWarngShabu ก่อนเลยเพื่อรับขนมหวานมูลค่าถ้วยละ 140 บาทฟรีทันที เปิดเล่มเมนูมาหน้าแรกเป็นรายละเอียดของแต่ละน้ำซุปที่เราจะได้ทานกันในวันนี้เริ่มจาก 1. ซุปหม่าล่าไต้หวัน 21 เครื่องเทศต้มกับกระดูกวัวยาวนานถึง 6 ชั่วโมงเต็ม พร้อมบอกรายละเอียดของสมุนไพรบางส่วนลงไปด้วยแต่ไม่บอกทั้งหมดเพื่อป้องกันคนนำไปลอกเลียนแบบ 2. ซุปโสม 8 อย่างสมุนไพรอายุยืน ทำจากเครื่องเทศต่างๆทั้งโสม/ถังเช่า/พุทราจีน/เกากี้/ตังกุย/โบตั๋นขาว/ชางจู๋และแยมผลไม้สูตรลับ มีสรรพคุณคือช่วยต้านริ้วรอยสร้างภูมิคุ้มกันและเพิ่มความกระปรี้กระเปร่า 3. ซุปมะเขือเทศต่อต้านวัยชราผสมสมุนไพรสูตรลับ 6 ชนิดพร้อมมะเขือเทศและพุทราจีนเคี่ยวกับกระดูกหมู-ไก่สุดเข้มข้น น้ำซุปที่ร้านขาย 1 ลิตร ราคา 240 บาท และ 2.2 ลิตร ราคา 360 บาท ฟังดูเหมือนแพงแต่ต้องลองดูน้ำซุปของจริงว่าเขาใส่สมุนไพรลงไปเยอะขนาดไหน พร้อมโปรโมชั่นพิเศษสั่ง Set Menu อะไรก็ได้ 1 ชุดรับน้ำซุปฟรี 1 ช่อง (ส่วนหม้อที่เหลือใส่เป็นซุปกระดูกไก่ให้แทน) ถ้าสั่ง 2 ชุดรับน้ำซุปฟรีแบบจัดเต็มทั้ง 3 ชนิดไปเลยถือว่าคุ้มมากเพราะประหยัดได้เยอะเลยครับ

หน้าต่อไปเป็นชุดเมนูแบบซุปเปอร์พรีเมี่ยมเริ่มต้นที่ "Japanese Wagyu A4" สำหรับ 1 คน ราคา 1,380 บ. 2 คน ราคา 2,580 บ. เมนูต่อไปเป็น "Wagyu F1" สำหรับ 1 คน ราคา 998 บ. 2 คน ราคา 1,990 บ. ถ้าไม่กินเนื้อวัวก็มีเป็น "Kurobuta Pork" สำหรับ 1 คน ราคา 640 บ. 2 คน ราคา 1,180 บ. กับ "Thai Pork" สำหรับ 1 คน ราคา 490 บ. 2 คน ราคา 888 บ. หน้าต่อไปก็ยังเป็น "Austarlia Prime Beef AA" สำหรับ 1 คน ราคา 790 บ. 2 คน ราคา 1,480 บ. และ "Austarlia Prime Beef" กับ "Austarlia Beef Brisket" สำหรับ 1 คน ราคา 760 บ. 2 คน ราคา 1,350 บ. หากรู้สึกว่าราคาสูงไปก็มีเนื้อไทยอย่าง "Thai-French Prime Beef AA" สำหรับ 1 คน ราคา 695 บ. 2 คน ราคา 1,220 บ. และเนื้อ "Thai-French Prime Beef" กับ "Thai-French Brisket" สำหรับ 1 คน ราคา 680 บ. 2 คน ราคา 1,195 บ. ทุกชุดเสิร์ฟพร้อมกับผักสดและเต้าหู้ไต้หวันโฮมเมดอย่างละจาน ตามมาด้วยเมนู A La Carte แบบ Add On เพิ่มเติม ราคาเริ่มต้นจานละ 120-1,240 บาท รายการเนื้อสัตว์มีมาเพิ่มเป็นหมูสันคอกับหมูสามชั้นไทย ตามมาด้วยเนื้อวัวรวมหลายอย่างและผสมหมูในถาดเดียวกันราคาเริ่มต้นที่ 120-305 บาท สายซีฟู้ดก็มีให้สั่งเพียงทั้ง กุ้งล๊อบสเตอร์ภูเก็ต/หอยเชลล์ฮอกไกโด/ปลากะพงและกุ้งสดราคาเริ่มต้นที่ 245-2,200 บาท พร้อมโปรโมชั่นพิเศษสั่ง 2 เซตหรือชุดสำหรับ 2 คนก็ฟรีน้ำซุป 3 ช่องไปเลยครับ

ตามมาด้วยเมนูตุ๋นพร้อมทานต่างๆทั้ง เนื้อวัว/กระเพาะวัว/หูหมูตุ๋นในน้ำซุปหม่าล่าและไก่ทอดพริกหม่าล่าราคาจานละ 195-260 บาท เครื่องในต่างๆมีให้สั่ง 3 อย่างคือกระเพาะวัว/ขี้ริ้ววัวกับไส้เป็ดราคาจานละ 85-180 บาท ชุดข้าวอบกุนเชียงหมู/แฮมรวมกับตับเป็ดสไตล์ฮ่องกงเสิร์ฟพร้อมซุป 4 สมุนไพรเสริมกำลังราคา 320-360 บาท หน้าต่อไปเป็นลูกชิ้น/เต้าหู้ต่างๆราคาจานละ 80-160 บาท ชุดผักสด/เห็ดต่างๆ/เลือดเป็ดก้อนกับลูกชิ้นรวมราคาเริ่มต้นที่ 45-320 บาท หน้าสุดท้ายเป็นซุปกระดูกหมูเปล่า 2 ลิตร/เส้นมันเทศกับข้าวสวยเป็นถ้วย ราคา 25-120 บาท ขนมหวานมีให้สั่งแค่ 2 ชนิดราคา 130-140 บาท (ตอนนี้แค่ถ่ายรูป-เช็กอินเลือกฟรีได้ทั้ง 2 เมนู) ส่วนเครื่องดื่มก็มีทั้งน้ำเปล่า-น้ำอัดลมราคาเริ่มต้นที่ 25-48 บาท ชาจีนร้อนราคาหม้อละ 75 บาท นอกนั้นก็เป็นไวน์และเบียร์ขายยกขวดราคา 200-2,500 บาท สำหรับใครที่ดื่มน้ำเยอะแบบเราเขามีชาจีนอู่หลงรีฟีลให้บริการเพียงคนละ 75 บาท ส่วนเมนูใบกระดาษแข็งสีดำเป็นการรวมชุดเมนูแบบเดียวกับในเล่มให้สั่งง่ายที่เหลือก็แค่รออาหารมาเสิร์ฟครับ

เริ่มต้นด้วยชาจีนอู่หลงรีฟีลราคาคนละ 75 บาท เป็นใบชาจีนจืดต้มมาหอมละมุนเข้มข้นแต่ไม่ติดขมดื่มง่ายน้องพนักงานคอยเดินมาเติมให้เรื่อยๆ อุปกรณ์ต่างๆบนโต๊ะประกอบไปด้วยจานรอง/ชามพักเนื้อ-น้ำซุป/ตะเกียบไม้ยาวสำหรับใช้ในหม้อ/ตะเกียบสั้นสีดำสำหรับใช้ส่วนตัว ส่วนในซองพลาสติกมีช้อนซุป/ผ้ากันเปื้อนกับกระดาษทิชชู่และกระดาษรองจานก็เป็นหน้าแรกที่อยู่ในเล่มเมนูซึ่งรวบรวมสรรพคุณต่างๆของน้ำซุปเอาไว้ จากนั้นน้ำจิ้มต่างๆก็ถูกยกออกมาประกอบไปด้วยซอสพอนสึแบบญี่ปุ่นและน้ำจิ้มน้ำมันกระเทียมสไตล์ไต้หวันแท้ (ต่างจากสูตรจีนที่จิ้มกับซีอิ๊วรสเปรี้ยวๆแทน) มาพร้อมพริกสดซอย/กระเทียมสับ/ต้นหอมซอยให้ปรุงความแซ่บนัวเพิ่มได้ตามใจ จัดการใส่ผ้ากันเปื้อนที่ทางร้านเตรียมเอาไว้ให้กันน้ำซุปหม่าล่ากระเด็นใส่เสื้อให้เรียบร้อยแล้วรออาหารต่างๆมาเสิร์ฟบนโต๊ะกันครับ

ชุดแรกเป็น "Kurobuta Pork" หรือหมูคุโรบูตะส่วนสันคอราคา 640 บาท สำหรับ 1 คนประกอบไปด้วยเนื้อหมูส่วนสันคอแทรกไขมันเป็นลายสวยงามสไลด์มาแผ่นบางลวกแล้วนุ่มทานง่ายๆตามแบบฉบับคุโรบูตะที่เราคุ้นเคย และชุด "Austarlia Prime Beef" หรือเนื้อวัวออสเตรเลียส่วนชัคโรลราคา 760 บาท สำหรับ 1 คน เป็นเนื้อส่วนสันคอของวัวที่มีลายไขมันชัดและสม่ำเสมอทั้งชิ้นดูสวยงามสไลด์มาแผ่นบางนุ่มและมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวที่เข้ากับน้ำซุปสมุนไพรสูตรของทางร้านได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ทั้ง 2 ชุดยังมาพร้อมกับชุดผักสดขนาด 320 กรัมประกอบไปด้วยบ็อกชอย/รากบัว/แครอท/มันฝรั่ง/ผักกาดขาวกับเห็ดเข็มทองปกติราคาชุดละ 180 บาท เต้าหู้ไต้หวันโฮมเมดแบบสดและทอดรวมกัน 8 ชิ้นปกติราคาจานละ 80 บาท และเส้นมันเทศจีนอีก 1 ถ้วยใหญ่ปกติราคา 80 บาท รวมแล้วสำหรับ 1 คนปกติก็น่าจะทานอิ่ม แต่เรา 2 คนทานกันเยอะมากเลยสั่งเนื้อแบบ A La Carte มาเพิ่มอีกครับผม

เมนูต่อไปเป็นเนื้อวัวไทยเฟรนซ์กับออสเตรเลียรวมกันในจานเดียวถึง 5 ชนิดคือ "รวมเนื้อออสและไทยเฟรนซ์" ราคา 560 บาท ซึ่งไม่มีในเล่มเมนูแต่เราขอน้องพนักงานช่วยแนะนำและจัดการรวมกันมาให้อย่างสวยงาม ประกอบไปด้วย 1. ออสเตรเลียส่วนชัคโรลแบบเดียวกับที่เสิร์ฟในชุดจานก่อนๆ 2. เนื้อออสเตรเลียส่วนบริสเกตก็คือสามชั้นของวัวที่เรียกว่าเสือร้องไห้เคี้ยวนุ่มมีความกรุบกรอบตรงขอบนิดๆกลิ่นชัดเจนไม้แพ้ส่วนแรก 3. ไทยเฟรนซ์บริสเกตรสชาติและกลิ่นของเนื้อจะอ่อนลงทานง่ายกว่าเหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบความรุนแรงนัก 4. ไทยเฟรนซ์สตริปลอยน์หรือสันติดมันแบบเดียวกับที่เสิร์ฟในร้านสเต็กเอามาสไลด์บางๆลงหม้อชาบูแทน รสชาติไขมันเข้มข้นแต่ยังคงกลิ่นที่ละมุนของไทยเฟรนซ์เอาไว้เหมือนเดิม 5. Thai Feanch Macreuse หรือเนื้อส่วนไหล่/เนื้อตะพาบของวัวที่มีไขมันน้อยแต่นุ่มเหนียวนิวๆรสชาติเข้มข้นได้เคี้ยวมากกว่าส่วนอื่นqทั้งหมดในถาดนี้ จานต่อไปสั่งเป็น "Kurobuta Pork Belly" หรือหมูสามชั้นคุโรบูตะ ราคา 310 บาท มีชั้นไขมันน้อยเนื้อสีชมพูเยอะนุ่มละมุนสไลด์บางไม่ติดหนังแข็งกินง่ายและไม่มีกลิ่นเฉพาะตัวแบบเนื้อวัวเหมาะสำหรับจุ่มลงในซุปโสมหรือซุปมะเขือเทศหนักเครื่องสมุนไพรมากๆครับ

มาทานหม้อไฟหม่าล่าแบบนี้สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ "ลูกชิ้นรวมไต้หวัน 6 ลูก" ราคา 320 บาท เป็นลูกชิ้นขนาดใหญ่พิเศษสไตล์ไต้หวันแท้ๆประกอบไปด้วยลูกชิ้นปลาหมึก/ลูกชิ้นกุ้งและลูกชิ้นเนื้อไซส์จัมโบ้ เนื้อสัมผัสแน่นบีบรัดตัวพร้อมระเบิดในปากต้มนานๆไม่อืดพองเพราะไม่ผสมแป้งกัดลงไปเจอแต่เนื้อเน้นๆเคี้ยวเต็มคำสะใจ สั่งมาอีกจานเป็น "ฟองเต้าหู้ทอด" เสิร์ฟ 4 ชิ้นม้วนใหญ่แบบนี้ ราคา 80 บาท มันก็คือฟองเต้าหู้ทอดแบบจีนที่เอามาม้วนสำหรับต้มลงในหม้อหม่าล่าให้ดูดซึมน้ำซุปเข้าไปภายในกัดแล้วชุ่มฉ่ำเต็มปาก จานต่อมาเราไม่ได้สั่งแต่ทางร้านยกออกมาให้ฟรีขอบคุณที่เราแวะเข้ามาทานเพราะเพิ่งเปิดได้ไม่นานก็คือ "ไก่ทอดพริกเสฉวน" ปกติจานละ 195 บาท เป็นเนื้อไก่ชุบแป้งทอดสูตรพิเศษกรอบทนนานเอาไปคั่วกับพริกแห้งและเมล็ดซวงเจียทอดรสเผ็ดร้อนชาลิ้นเค็มเบาๆทานเพลินกลมกล่อมก่อนจะโรยต้นหอมกับงาขาวลงไป ตอนแรกคิดว่าถ้าไม่ทานโดนเครื่องสมุนไพรคงไม่เผ็ดเท่าไหร่แต่เขาคั่วจนน้ำมันเครื่องเทศซึมเข้าไปในแป้ง-เนื้อไก่เรียบร้อยแล้วยังไงก็เผ็ดฉุนโดนทุกคำแน่นอนเป็นอีกจานที่ประทับใจครับ

น้ำซุปมาเสิร์ฟบนโต๊ะแล้วน้องพนักงานก็จะมาอธิบายวิธีการใช้งานให้เราฟังโดยปุ่มข้างๆโต๊ะสามารถดึงออกมาควบคุมเองได้หลายฟังก์ชั่นทั้ง 1. เปลี่ยนโหมด (ทางร้านตั้งค่าเอาไว้ที่ระบบหม้อไฟอยู่แล้ว) 2. ลดกับเพิ่มไฟปรับให้เดือดหรือเบาลงตามต้องการ 3. ปุ่มขึ้น-ลงสำหรับยกตะแกรงขึ้นมาซึ่งตอนนี้มีเพียงแค่เครื่องสมุนไพรต่างๆที่ใส่ลงไปแบบจัดเต็ม (ตอนแรกคิดว่าร้านขายน้ำซุปราคาแพงแต่ดูแล้วจ่ายเค้าไปเถอะครับ) ยกเว้นช่องเล็กๆตรงกลางต้องใช้กระบวยตักขึ้นมาเองเหมือนเดิม และ 4. ปุ่มกลมใหญ่ปิดเตาไปเลยหากไม่ทานแล้วหรือรอให้น้ำซุปอุณหภูมิลดลงเพื่อซดต่อ น้ำซุปอย่างที่บอกไปแล้วว่ามี 3 สูตรก็คือ 1. หม่าล่ารสเผ็ดร้อนชาลิ้นระดับกลางพออร่อยไม่ทรมานมากแต่หนักไปทางสมุนไพรใส่พุทราจีนลงไปรสเค็มอมหวานลงตัวกว่าร้านอื่นๆส่วนเบสพื้นฐานเป็นกระดูกวัวมีกลิ่นหอมไขมันเนื้ออ่อนๆเข้ากันได้ดีมากครับ 2. น้ำซุปโสมคล้ายๆกับต้มยาจีนที่เพิ่มโสมสดกับพุทราตากแห้งลงไปจึงหวานฉ่ำชุ่มคอตัดเค็มอ่อนๆด้วยน้ำซุปกระดูกหมูที่เป็นเบสพื้นฐานยิ่งต้มนานๆกลิ่นเครื่องสมุนไพรยิ่งเข้มข้นชัดเจนขึ้นราวกับซดยาแต่อร่อยถูกใจอีกแล้วครับ 3. น้ำซุปมะเขือเทศถ้าให้จินตนาการรสชาติอยากให้นึกถึงขนมจีนน้ำเงี้ยวไม่ใส่ดอกงิ้วและถั่วเน่าแต่เปลี่ยนเป็นเครื่องสมุนไพรจีนแทน ที่สำคัญก็คือรสชาติไม่เผ็ดซดแล้วไม่คล้ายยาจีนรสเค็มอมเปรี้ยวแบบที่คนไทยคุ้นเคยมากกว่า ถ้าสั่งไม่ครบทั้ง 3 น้ำซุปช่องที่เหลือทางร้านก็จะเติมให้เป็นซุปโครงกระดูกไก่แทนครับ

ตอนนี้ทุกอย่างมาพร้อมแล้วปกติเราต้องฉีกผักต่างๆด้วยตัวเองแต่ร้านนี้เขามีบริการตัดแต่งและลงหม้อให้ก่อนโดยไม่ต้องจับให้เปื้อนมือ จากนั้นลงลูกชิ้นกับเนื้อสัตว์สไลด์บางที่เราสั่งมาลงไปในน้ำซุปได้เลยไม่ต้องกลัวหล่นหายสาบสูญเพราะเดี๋ยวเราค่อยกดปุ่มเรียกมันขึ้นมาพร้อมกัน (ยกเว้นช่องตรงกลาง) ส่วนความพิเศษอีกอย่างของหม้อชาบูที่ร้านนี้ก็คือเมื่อเรียกกดตะแกรงขึ้นมาระบบจะทำการลดไฟลงพออุ่นน้ำซุปแต่พอเรากดให้ลงไปเหมือนเดิมหม้อจะทำการเพิ่มระดับไฟให้อัตโนมัติเพื่อรักษาความร้อนของน้ำซุปให้คงที่อยู่เสมอ ถือว่าเป็นเทคโนโลยีไฮเทคช่วยตอบโจทย์สายชาบูหม้อไฟตัวยงอย่างแท้จริง ลงวัตถุดิบต่างๆลงไปเรียบร้อยแล้วรอให้สุกแป๊บเดียวก็ทานได้แล้วครับผม

กดปุ่มขึ้นเพื่อเรียกวัตถุดิบต่างๆที่เราใส่ลงไปให้โผล่พ้นน้ำซุปขึ้นมาซึ่งถือว่าสะดวกมากเพราะปัญหาที่หลายคนเจอมาก็คือน้ำซุปสีแดงสดกับเครื่องสมุนไพรปิดการมองเห็นทำให้ใช้ตะเกียบกระบวยตักขึ้นมาอย่างยากลำบาก แต่หม้อพิเศษนี้ทำให้เห็นหมดเลยว่าเราลงผัก/เนื้อสัตว์/ลูกชิ้นต่างๆไปตรงไหนบ้างโดยไม่ต้องคอยเพ่งที่หน้าหม้ออีกต่อไป เริ่มชิมจากลูกชิ้นไต้หวันเนื้อแน่นต้มนานไม่ฟูอืดในหม้อกัดแล้วเด้งสู้ฟันดีมาก-เต้าหู้ไต้หวันสูตรโฮมเมดแบ่งออกเป็นทอดและต้นตำรับเนื้อสัมผัสแน่นคีบง่ายแต่ไม่เหลวละลายลงไปในน้ำซุป เหมือนถูกออกแบบมาให้สามารถอยู่ในหม้อได้นานโดยไม่สลายหายตัวไปแบบเต้าหู้อ่อนญี่ปุ่น สำหรับชิ้นที่ทอดมาตรงขอบจะซึมซับน้ำซุปได้ดีกว่าเนื้อเนียนละเอียดทานง่ายไม่มีกลิ่นเหม็นสาบหืนเฉพาะตัวของถั่วเหลืองถือว่าคุณภาพดีเลยครับ ส่วนเส้นมันเทศเราขอแนะนำว่าให้ค่อยๆต้มทีละนิดเท่าที่อยากทานและใช้เวลาเพียงแป๊บเดียวเพราะถ้าทิ้งไว้นานๆละลายหายไปในหม้อเกือบหมด ลวกสุกแล้วจากเส้นขุ่นจะใสเหนียวหนึบสู้ฟันเคี้ยวขาดได้ยากเป็น Signature ของทางร้านที่มาแล้วห้ามพลาดครับ

ส่วนน้ำจิ้มอย่างที่บอกไปเบื้องต้นแล้วว่าที่ร้านเสิร์ฟแค่ 2 สูตรไม่ต้องผสมมากมายชวนสับสนคือ 1. ซอสพอนสึสไตล์ญี่ปุ่นรสเปรี้ยวเค็มกลมกล่อมแบบเดียวกับร้านชาบูชั้นนำที่เราคุ้นเคย ผสมพริกสด/กระเทียมสับ/ต้นหอมซอยลงไปอีกหน่อยทานเนื้อลวกในกับซุปโสม-ซุปมะเขือเทศรสหวานหน่อยตัดกันได้อย่างลงตัวสุดๆ 2. ซอสสูตรไต้หวัน เป็นน้ำมันกับกระเทียมรสเค็มอ่อนๆกลิ่นกระเทียมชัดเจนที่ดูตอนแรกแล้วยังไงก็เลี่ยนแน่ๆ ทางร้านแนะนำว่าให้จิ้มคู่กับเนื้อลวกในน้ำซุปหม่าล่ารสเผ็ดร้อนผสมความอูมามิของกระเทียมแช่น้ำมันกลายเป็นว่าทานง่ายลื่นไหลลงคอเฉยหากกลัวเลี่ยนก็เพิ่มต้นหอม/พริกสดลงไปอีกหน่อย หรือถ้าเบื่อแล้วก็จับผสมกันได้ทั้งความเค็ม-เปรี้ยวอูมามิครบๆในคำเดียวกัน จากที่เคยไปหาข้อมูลมาที่ไต้หวันเขาทานน้ำจิ้มน้ำมันกระเทียมเป็นหลักบางสูตรอาจจะเทน้ำซุปหม่าล่าลงไปผสมด้วยอันนี้ปรับความชอบของแต่ละคนได้ตามใจเลย เพราะเราสามารถขอเติมน้ำจิ้มได้ไม่อั้นอยู่แล้วครับผม

ขนมหวานมื้อนี้ได้มาฟรี 2 เมนูนั่นก็คือ "กุ้ยหลิงเกาเยลลี่" ปกติราคา 140 บาท เป็นเฉาก๊วยจีนเนื้อเหนียวหนึบหนับกับวุ้นรสมะม่วงหอมอมเปรี้ยวทานกับนมข้นจืดและน้ำผึ้งให้รสหวานมันคล้ายกับเฉาก๊วยนมสด แต่มีความหอมสดชื่นของมะม่วงผสมเข้ามาทำให้แปลกใหม่เข้ากันได้อย่างงงๆ ถ้วยต่อไปคือ "เต้าฮวยแอลมอนด์" ปกติราคา 140 บาท เป็นวุ้นเต้าฮวยที่คำจากนมแอลมอนด์หั่นเป็นก้อนสี่เหลี่ยมลูกเต๋าสัมผัสเหนียวหนึบราดนมจืดท็อปปิ้งด้วยแยมกลีบกุหลาบจีนรสหวานหอมก่อนทานก็แค่คลุกทุกอย่างให้เข้ากัน จะได้ทั้งนุ่มเด้งเคี้ยวสู้ฟันหอมมันนมสดและสดชื่นกลิ่นดอกไม้ขึ้นจมูกในคำเดียว ถือว่าขนมสไตล์ไต้หวันแท้ร้านนี้เขาอร่อยเด็ดจริงเลยขอแนะนำว่าให้ร่วมกิจกรรมถ่ายรูปพร้อมเช็กอินเพื่อรับ 1 ใน 2 เมนูนี้ฟรีรับรองว่าถูกใจอย่างแน่นอน ตอนนี้อิ่มแล้วก็เรียกพนักงานมาคิดเงินกันครับ

มื้อนี้มาทานกัน 2 คน จ่ายไป 3,319.41 บาท มี Vat. 7% กับ Service Charge 10% รวมเรียบร้อยแล้ว ถ้าเทียบกับชาบูหม่าล่าร้านอื่นที่เคยรีวิวมาบอกได้เลยว่าไม่มีใครเหมือนเพราะเป็นสไตล์ไต้หวันแท้ใช้สมุนไพรสดต้มเองวันต่อวัน ต่างจากสูตรจีนที่เคยชิมมาค่อนข้างเยอะที่สำคัญก็คือรู้สึกว่าสุขภาพภายในดีกว่าเหมือนได้ทานอาหารเป็นยาตามแบบฉบับโบราณจริง ลงมติกับแฟนแล้วว่าอร่อยถูกใจดีมากๆและครั้งหน้าจะพาผู้ใหญ่ในครอบครัวมาทานด้วย ดีแบบนี้รับคะแนนอร่อยคุ้มไป 5 ดาวเลยจ้า 🌟🌟🌟🌟🌟


พิกัด : The Bless Recidence เลขที่ 10/16 ซอยสุขุมวิท 33 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม. 10110

เปิดให้บริการทุกวันไม่มีวันหยุด จันทร์-ศุกร์ เวลา 11.30-22.00 น. และ เสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-22.00 น.

(อาจมีการปรับเปลี่ยนตามนโยบายของรัฐบาล) โทร. 096-301-9699


<นอกจากนี้ร้าน "Warng Warng" (ว่างว่าง) ยังมีอีก 1 สาขาอยู่ภายในซอยเสนานิคม 1 ใกล้ตรงไหนไปลองชิมดู>


อ่านรีวิวแล้วชอบรบกวนช่วยกด Share อวดเพื่อนๆของคุณ

แล้วตามไปกดถูกใจเพจของเราที่นี่ > https://www.facebook.com/FoodAddictsThai/ <

และอย่าลืมกด See First เพื่อที่จะได้ไม่พลาดรีวิวใหม่ๆของเรานะ 😘😘😘



ดู 37,836 ครั้ง0 ความคิดเห็น
bottom of page