top of page
ค้นหา
  • รูปภาพนักเขียนFood Addicts - เสพติดการกิน

รีวิว "Ren Omakase" By Mizu Mori ร้านอาหารญี่ปุ่นเสิร์ฟโอมากาเสะเริ่มต้น 13 เมนู 999฿++(ถ.กัลปพฤกษ์)

อัปเดตเมื่อ 20 มิ.ย. 2566



อยู่ดีๆแฟนผมก็เดินมาบอกว่าให้รีบแต่งตัวออกจากบ้านแล้วหยิบกล้องใหญ่พกติดตัวพาขึ้นแท็กซี่ด่วนจอดตรงหน้าร้าน "Mizu Mori" บนถนนกัลปพฤกษ์โดยมีเหตุผลว่าจองคอร์สโอมากาเสะตัวของ "Ren Omakase" เอาไว้เกือบลืมไปว่ามีนัดวันนี้รอบ 16.00 น. (เพราะถ้าไม่มาถือว่าสละสิทธิ์พร้อมถูกยึดเงินค่ามัดจำตามกติกา) ส่วนราคาเลือกได้ตั้งแต่ 13 เมนู 999++/16 เมนู 1,599++/19 เมนู 2,599++ ต้องชำระล่วงหน้า 500/700/1,300 บาทตามลำดับถ้าเกิดเหตุฉุกเฉิน/ติดธุระสำคัญสามารถเลื่อนได้ไม่เกิน 2 ครั้งหรือ 72 ชั่วโมงก่อนเข้าใช้บริการ อ่านรีวิวบนเว็บไซต์-เพจต่างๆก่อนหน้าถ่ายรูปได้ดูน่าทานแถมคะแนนค่อนข้างสูงเฉลี่ยอยู่ที่ 3.9-4.7 เต็ม 5 ดาว นั่นแสดงว่าต้องอร่อยเด็ดเสิร์ฟวัตถุดิบชั้นเยี่ยมนำเข้าจากญี่ปุ่นสดใหม่โดยเชฟมีฝีมือไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน สำหรับวิธีการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวเพียงปักหมุดขับตามระบบแผนที่ในมือถือมีลานจอดเทหินแกรนิตขนาดกว้างขวางพิเศษด้านหน้า ถ้าใช้บริการขนส่งสาธารณะให้นั่ง BTS ลงสถานีวุฒากาศแล้วเรียกแท็กซี่,มอเตอร์ไซค์รับจ้างอีกประมาณ 6 กม.ก็จะถึงจุดหมายปลายทาง โดดเด่นด้วยอาคารภายนอกดีไซน์รูปทรงโมเดิร์นทันสมัยสวยงามติดแผ่นโปร่งแสงขนาดใหญ่อยู่ใกล้ริมถนนกัลปพฤกษ์ล้อมรอบต้นไม้ใหญ่สีเขียวชวนสดชื่นสบายตาแบบนี้แสดงว่ามาถูกแล้วครับผม

บรรยากาศและตกแต่งเริ่มต้นจากด้านนอกอาคารออกแบบให้ดูโมเดิร์นทันสมัยติดตั้งแผ่นโปร่งใสขนาดใหญ่ให้แสงลอดเข้ามาผ่านหลังคาสวยงามดูละมุนตามธรรมชาติล้อมรอบด้วยระเบียงทางเดินไม้ยาวกับกระจก ซึ่งทางร้านพยายามจำลองให้เหมือนกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนป่าไผ่ "อาราชิยาม่า" สถานที่ท่องเที่ยวมีชื่อเสียงโด่งดังของจังหวัดเกียวโตอันเป็นจุดหมายในฝันของชาวไทยหลายท่าน ผสานน้ำตกย่อมๆก่อจากหินเทียมสไตล์ญี่ปุ่นและติดตั้งเครื่องพ่นหมอกควันด้วยระบบอัลตร้าโซนิคคล้ายไอความร้อนบางเบาบนผิวน้ำแบบออนเซ็นเรียวกังในภูเขาห่างไกลผู้คนที่แดนอาทิตย์อุทัย โดยรวมให้อารมณ์สงบ,เยือกเย็นดูร่มรื่นแถมยังช่วยบำบัดกายพร้อมจิตใจให้สะอาดตามแบบฉบับวิถีแห่งพระพุทธศาสนานิกายเซน อีกทั้งยังเอาใจใส่ลูกค้ากลุ่มครอบครัวกรณีต้องใช้รถเข็นสำหรับผู้สูงอายุ/เด็กเล็กหรือคนพิการแนะนำว่าจอดรถตรงซุ้มหลังคาแล้วขึ้นทางลาดได้อย่างสะดวกสบาย ซึ่งวันนี้พวกเราสองคนก็เดินทางมาถึงก่อนเวลานัดอีกเล็กน้อยเพื่อถ่ายรูปตามมุมต่างๆภายในเพื่อจะได้เป็นการรบกวนลูกค้าท่านอื่นให้น้อยที่สุดครับ

เปิดประตูกระจกเข้ามาด้านในก็จะพบกับเคาน์เตอร์แคชเชียร์พร้อมน้องพนักงานกล่าวทักทายและต้อนรับอย่างเป็นมิตรจัดการแจ้งชื่อกับเวลาที่จองเอาไว้ให้เรียบร้อยระหว่างนี้ยังมีเหลือเวลาอยู่ก็เลยขออนุญาตเดินสำรวจพร้อมถ่ายรูปเก็บบรรยากาศตามมุมต่างๆรอบร้านก่อน ก่อนอื่นต้องแจ้งก่อนว่า "Mizu Mori" นั้นเป็นชื่อของสถานที่แห่งนี้เปิดบริการภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นรูปแบบ A La Carte แยกแบรนด์ออกมาเพื่อจำหน่ายโอมากาเสะโดยเฉพาะนั่นก็คือ "Ren Omakase" ที่เราจะได้ลิ้มลองรสชาติกันวันนี้ บรรยากาศและการตกแต่งก็ยังคงเน้นสไตล์โมเดิร์นสมัยใหม่ผสมวิถีญี่ปุ่นตามพระพุทธศาสนานิกาย Zen ซึ่งแสดงถึงธรรมชาติอันแสนเรียบง่ายแลดูสมดุลตัดความหรูหราไม่จำเป็นออกไปจึงทำให้ลูกค้าที่เข้ามาทุกท่านรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายชวนจิตใจสงบเหมือนได้ตัดขาดโลกภายนอกแสนวุ่นวายทิ้งไว้หน้าประตู เริ่มต้นตั้งแต่ป่าไผ่ล้อมรอบทุกด้านเว้นพื้นที่ตรงกลางให้แสงลอดเข้าด้วยสวนหินแบบวัดญี่ปุ่นพื้นครึ่งร้านถูกปูด้วยไม้แท้สลับกระเบื้องหินดาดกับเฟอร์นิเจอร์แนวคิดคล้ายกัน ส่วนฝ้าทรงสูงด้านบนทาสีดำสนิทเพื่อไม่ให้ดูสว่างจนเกินไปเพิ่มโคมไฟสีเหลืองให้ความอบอุ่นลงตัวยกเว้นโซนบาร์จะใช้สีโดดเด่นกว่าจุดอื่นๆครับ

สำหรับใครที่เป็นสายชอบถ่ายรูปตัวยงนอกจากการตกแต่งร้านในบรรยากาศวิถีแบบ Zen สไตล์ญี่ปุ่นแล้วทางร้านก็ได้จัดมุมต่างๆให้ได้ออกลวดลายโพสท่าอย่างสวยงามอีกเพียบ ส่วนครอบครัวถ้าพาเด็กเล็กวัยกำลังซนเข้ามาก็มีสนามหญ้าด้านหลังพร้อมเครื่องเล่นต่างๆให้ได้ออกมาวิ่งเล่น-ปีนป่ายด้วยกันอย่างสนุกสนาน โดยระหว่างนั่งกินและปล่อยอารมณ์ดื่มด่ำไปกับเมนูคอร์สโอมากาเสะก็สามารถมองทะลุบานกระจกใสขนาดใหญ่มาข้างนอกได้ตลอดเวลาจึงปลอดภัย เพราะทำพื้นที่ปิดรั้วรอบขอบชิดติดห้องน้ำติดตั้งระบบสุขภัณฑ์อัตโนมัติมีพนักงานคอยดูแลรักษาความสะอาดตลอดเวลา เย็นนี้ถ้าไม่รู้ว่าจะไปดื่มสังสรรค์กับเพื่อนๆร้านไหนที่ "Mizu Mori" นั้นมีให้บริการทั้งสาเก/เหล้าบ๊วย/ไวน์แดง-ขาว/เบียร์มากมายหลากหลายยี่ห้อดูแปลกตาวางแช่อยู่แน่นเต็มตู้เย็นซึ่งส่วนใหญ่ถูกนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นเกือบ 100% พร้อมโซนโต๊ะแบบบาร์เอาไว้ต้อนรับสายดื่มโดยเฉพาะ สุดท้ายเราเดินไปหาน้องพนักงานเพื่อขอเมนู A La Carte มานั่งชมพลางๆแบ่งออกเป็นรายการอาหาร-เครื่องดื่มตามลำดับแต่เล่มค่อนข้างหนาและไฟสะท้อนเยอะถ่ายรูปยากมากจึงขอฉบับออนไลน์แทนกดเข้าลิงก์นี้>> https://bit.ly/3TzMMK0 << ส่วน "Ren Omakase" เนื่องจากวัตถุดิบสดแต่ละคอร์สจะถูกเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามฤดูกาลเราขอแนะนำว่าให้แชตสอบถามตรงกับแอดมินที่ดูแลเพจ เมนูไหนทานไม่ได้รบกวนแจ้งทันทีทางเชฟจะได้รับทราบแล้วเปลี่ยนให้ตามความเหมาะสมครับ

กลับมานั่งตรงหน้าบาร์โอมากาเสะระหว่างที่เราเดินไปสำรวจถ่ายรูปตามมุมต่างๆภายในร้านทางเชฟก็ได้วุ่นกับการจัดเตรียมวัตถุดิบและภาชนะทุกอย่างให้เสร็จเรียบร้อยก่อนลูกค้าเข้าร้าน โดยหนึ่งรอบจำกัดไม่เกินเพียง 9 ท่านเท่านั้นเพื่อการดูแลอย่างทั่วถึงแบ่งเป็นวันละ 3 รอบคือ 12.00/16.00/19.00 น. ใช้เวลาประมาณ 1.5-2 ชั่วโมงต่อคอร์ส มื้อวันนี้ไม่รวมเครื่องดื่มเลยสั่ง "ชาเขียวเย็น" / "ชาเขียวร้อน" แบบรีฟิลเปลี่ยนสลับกันได้ราคาเพียงแก้วละ 50 บาทวางบนที่รองพร้อมหลอด ส่วนอุปกรณ์อำนวยความสะดวกน้องพนักงานได้จัดเอาไว้อย่างครบถ้วนเรียงเต็มโต๊ะทั้งตะเกียบ/ฐานพักตะเกียบ/จานแบ่งขนาดเล็ก/ผ้าเช็ดมือเม็ดแคปซูลแช่น้ำเย็นๆก่อนใช้งาน/แท่นไม้วางซูชิเคียงขิงดองน้ำผึ้งรสชาติหวาน-เผ็ดร้อนขึ้นจมูกสดชื่นช่วยล้างคาวปลาในปากให้พร้อมสำหรับคำถัดไป สมาชิกร่วมโต๊ะชมกิจกรรม Omakase ในรอบนี้ก็เดินทางมากันครบทุกคนแล้วทางเชฟได้ลอกแผ่นพลาสติกใสออกจากถาดไม้ขนาดใหญ่เผยให้เห็นวัตถุดิบสดที่จะใช้ปรุงเป็นอาหารรวมทั้งหมด 13 รายการ เปิดต่อมรับรสชาติบนลิ้นให้ตื่นรู้ด้วย "Welcome Drink" (160 บาท) ทำจากน้ำส้มยูสุสกัดเข้มข้นผสมโซดารสชาติเปรี้ยวนำอมหวานเย็นซ่าสดชื่นเสิร์ฟในแก้วไวน์ทรงกว้างพิเศษช่วยส่งเสริมให้กลิ่นพุ่งเด่นชัดยิ่งขึ้นซึ่งพนักงานแนะนำว่าให้ค่อยๆจิบทีละน้อยจนหมดครับ

ตามมาด้วยเมนูที่สองอย่างรวดเร็วซึ่งมีชื่อว่า "Ika Somen" (160 บาท) ทำจากปลาหมึกหอมญี่ปุ่นหรือ Aori Ika (อาโอริอิกะ) ตัดส่วนหัวควักเครื่องในลอกหนังทิ้งแล้วสไลด์เป็นแผ่นบางๆโดยใช้มีดคมกริบผสานฝีมือเชฟซอยจนได้เส้นเรียวเล็กละเอียดออกมาคล้ายเมนูโซเมงสีขาวดูสะอาดตาเพิ่มสัมผัสเหนียวนุ่มชวนเคี้ยวสู้ฟันและซึมซับน้ำซอสได้อย่างชุ่มฉ่ำเข้าเนื้อ ราดพอนสึสูตรพิเศษทำเองรสชาติเค็ม,เปรี้ยวเย็นสดชื่นตัดความหวานตามธรรมชาติของอาโอริอิกะช่วยส่งเสริมกันให้โดดเด่นยิ่งขึ้นกว่าเดิม จัดเสิร์ฟในแก้วค็อกเทลเพิ่มท็อปปิ้ง,ตกแต่งสวยงามด้วยไข่ปลาแซลมอนสีส้ม/ไข่คาเวียร์จากสเตอร์เจียนแท้สีดำสุดหรูหราพร้อมคีบเข้าปากพร้อมแตกระเบิดความอร่อยในคำเดียว เมนูลำดับสามคือ "Madai Karasumi" (220 บาท) ซูชิปลามาไดหรือที่รู้จักกันในชื่อไท้-กะพงแดง มีช่วงฤดูกาลที่เหมาะสมในการจับตั้งแต่ฤดูหนาวจนถึงฤดูใบไม้ผลิเกรดตกจากเบ็ดตามธรรมชาติซึ่งหาได้ยากสุด มีรสชาติเข้มข้น/กลิ่นหอมไขมันเฉพาะตัวให้สัมผัสเด้งกรอบแปลกใหม่วางบนข้าวปั้นซูชิสีน้ำตาลทาซอสโชยุบางๆ เพิ่มสิ่งสุดพิเศษไม่เหมือนใครด้วยคาราสึมิหรือไข่ปลากระบอกตากแห้งอีกหนึ่งวัตถุดิบชั้นเลิศ,ราคาแพงถึงกิโลกรัมละ 5 หมื่นเยนของขึ้นชื่อจากเมืองนางาซากิขูดโรยด้านบนเล็กน้อยให้ความเค็มกลมกล่อมนุ่มลึกเข้ากับปลาเนื้อสีขาวได้เป็นอย่างดีครับ

สำหรับรายการที่สี่นั้นมีชื่อว่า "Shima Aji" (220 บาท) เป็นปลาลูกครึ่งเนื้อสีขาวสะอาดแต่หนังสะท้อนแสงสีเงินจับจากอ่าวโออิตะในภูมิภาคคิวชูทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น จุดเด่นอยู่ตรงไขมันชั้นหนาพิเศษซึ่งให้สัมผัสตอนเคี้ยวในปากจะคล้ายเยลลี่เด้งหวานกรุบกรอบหวานหอมกระจายทั่วทั้งโสตประสาท ตัดความเลี่ยนด้วยต้นหอมซอยละเอียดบดสีเขียวสวยงามด้านบนเพียงเล็กน้อยช่วยให้รสชาติของปลานั้นให้เด่นชัดมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า มาต่อกันด้วยเมนูลำดับห้าได้แก่ "Kampachi Nigiri" (200 บาท) ปลาเนื้อสีขาวอีกชนิดนึงซึ่งอยู่ตระกูลหางเหลืองหรือ Yellow Tail แบบฮามาจิและบุรีที่เราคุ้นเคยในภัตตาคารทั่วไปจับจากธรรมชาติบริเวณอ่าวฮากาตะในจังหวัดฟุกุโอกะของประเทศญี่ปุ่น จุดเด่นอยู่ตรงไขมันน้อยแลกกับเนื้อที่แน่น,กระชับสู้ฟันละเอียดกินแล้วไม่ค่อยเลี่ยนพร้อมกลิ่นหอมเฉพาะตัวฟุ้งเต็มปาก โดยทางเชฟก็นำเสนอแบบง่ายๆเพราะวัตถุดิบคุณภาพดีมากอยู่แล้วเพียงปั้นเสิร์ฟวางบนข้าวซูชิสไตล์นิกิริปรุงรสชาติให้หวานอมเปรี้ยวสีน้ำตาลทาโชยุเล็กน้อยก็พร้อมเข้าปากซึมซับความอร่อยได้ทันทีครับ

ต่อกันด้วยคำที่หกอย่างรวดเร็วคือ "Aka Ebi" (350 บาท) หรือซูชิหน้ากุ้งแดงซึ่งภัตตาคารอื่นๆมักจะเลือกใช้ของอาเจนติน่าแต่ร้าน "Ren Omakase" คัดเฉพาะตัวใหญ่เกรดดีพิเศษนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น มีจุดเด่นก็คือความเด้ง,กรุบกรอบตัวใหญ่เนื้อหนาเคี้ยวสนุกสู้ฟันมากกว่าเนื่องจากน้ำทะเลมีความอุดมสมบูรณ์และอุณหภูมิที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน วิธีนำเสนอนั้นเชฟนำมาแกะหัวปอกเปลือกออกจนถึงปลายหางเหลือแต่เนื้อกุ้งล้วน 100% จับแช่ลงในซอสโชยุปรุงเองสูตรโฮมเมดที่เรียกว่าการ"สึเกะ"เอาไว้ประมาณครึ่งชั่วโมงเพื่อให้รสชาติเค็มกลมกล่อมมีมิติยิ่งขึ้น วางลงบนข้าวซูชิแต้มยูสุโคโชด้านบนอีกเล็กน้อย (พริกสีเขียวบดผสมส้มยูสุ) ของดีแห่งภูมิภาคคิวชูทางตอนใต้ดินของแดนอาทิตย์อุทัยช่วยเพิ่มกลิ่นหอม,เผ็ดร้อนสดชื่นไม่เหมือนใคร เมนูที่เจ็ดในคอร์สโอมากาเสะนี้ได้แก่ "Chawanmushi Aonori" (130 บาท) หรือไข่ตุ๋นเนื้อเนียนตำรับญี่ปุ่นสำหรับพักลิ้นและกระเพาะให้อุ่นสบายเพื่อข้ามไปสู่รายการซึ่งใช้วัตถุดิบเข้มข้นกว่าเดิม ด้านบนราดน้ำซุปใสสีทองสวยงามสกัดจากสาหร่ายคอมบุแห้ง/เนื้อกุ้งแดงต้มบดละเอียด/ไข่ปลาแซลมอน/ต้นหอมซอยเล็กน้อย วิธีกินก็แค่ตักด้วยช้อนให้ทุกอย่างรวมกันในคำเดียวครับ

เข้าสู่เมนูลำดับแปดต่อกันด้วยปลาที่ถือว่าเป็นราชาแห่งท้องทะเลก็คือ "Akami Suke" (400 บาท) ทูน่าเนื้อสีแดงสดใสสวยงามสายพันธุ์บลูฟินหรือฮอนมากุโระ (Hon-Maguro) ซึ่งราคาแพงที่สุดในโลกเลือกใช้เฉพาะอากามิมีชั้นไขมันแทรกน้อยมาก โดยเชฟนำไปผ่านกระบวนการ Dry-Aged เอาไว้ถึงเวลา 14 วันเพื่อกำจัดกลิ่นคาวเลือดอันไม่พึงประสงค์ออกจนหมดจดและเร่งเอนไซม์ทำปฎิกริยาช่วยให้เกิดความอูมามิตามธรรมชาติ ก่อนจะนำมาเสิร์ฟแช่ลงในซอสโชยุปรุงเองสูตรโฮมเมดที่เรียกว่าการ"สึเกะ"เอาไว้ประมาณ 30 นาทีเพื่อให้รสชาติเค็มนุ่มลึกยิ่งขึ้น จับวางบนข้าวซูชิปั้นสไตล์นิกิริทาซอสมิโซะผสมมัสตาร์ดบางๆพอหวาน,เผ็ดเล็กน้อยช่วยกระตุ้นประสาทรับรสให้กลับมากระปรี้กระเปร่าเหมือนใหม่ รายการที่เก้าส่วนตัวชื่นชอบเป็นลำดับ 2 จากทั้งหมด 13 รายการนั้นได้แก่ "Shime Saba" (165 บาท) ปลาซาบะจับในน่านน้ำญี่ปุ่นไซส์คัดพิเศษมีไขมันสะสมอยู่เยอะตัดหัวควักไส้เลาะก้าง,ครีบออก จนหมดเหลือแต่เนื้อล้วนๆแบบ Fillet ผ่านการดองเกลือผสมน้ำส้มสายชูหมักจากข้าวญี่ปุ่นนับระยะจำกัดเพื่อไม่ให้เปรี้ยวหรือเค็มจัดเกินไป จัดเสิร์ฟสไตล์มากิโรลสอดไส้ต้นหอมบดตรงกลางม้วนทรงกลมหั่นขนาดกำลังพอดีคำนาบด้วยถ่านขาวบินโจตันบริสุทธิ์สูงซึ่งให้ความร้อนมากถึง 1,000 องศาเซลเซียส,ราคาแพงถึงกิโลกรัมละ 1,000 บาทจนมีกลิ่นควันผสมไขมันปลาล้นออกมา ยื่นให้กับมือด้วยสาหร่ายโนริย่างกรอบๆโรยงาขาวคั่วก่อนเข้าปากคำโตครับ

รายการที่สิบนี้ยกให้อร่อยเป็นอันดับ 1 ในใจของเราทั้งสองคนนั่นก็คือ "Unagi Sando" (185 บาท) ปลาไหลสายพันธุ์น้ำจืดหรืออูนางิไซส์ใหญ่พิเศษจากเกาะโอซาก้าทางเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่นย่างบนเตาถ่านขาวราคาแพงถึงกิโลกรัมละ 1,000 บาทได้แก่ "บินโจตัน" ซึ่งอุณหภูมิสูงถึง 1,000 องศาเซลเซียสด้านนอกกรอบฟูหอมกลิ่นรมควันแต่ข้างในนุ่มชุ่มฉ่ำไขมันเคลือบซอสบางๆ ผู้ช่วยเชฟก็หันไปเตรียมแผ่นขนมปัง "บรียอช" โฮมเมดอบเองทาเนยสดบางๆจับนาบบนกระทะจนสีน้ำตาลเกรียมดูสวยงามปาดสเปรดลับสูตรพิเศษของทางร้านวางเจ้าอูนางิประกบลงไปแบบแซนด์วิชตัดชิ้นขนาดพอดีคำปิดท้ายด้วย Black Truffle Paste เข้มข้นด้านบนเล็กน้อย วิธีทานเพียงรับมาจากมือเชฟแล้วนำเข้าปากคำโตได้หลากหลายสัมผัสและกลิ่นทรัฟเฟิลตีขึ้นจมูกจนต้องอุทานออกมาว่า"อื้อหือ"ดังๆ กลับสู่เมนูช่วยเพิ่มความสดชื่นก่อนเข้าสู่ขนมหวานด้วยอย่างที่สิบเอ็ด "Soup" (70 บาท) นำก้างของมาไดกับคิมเมไดย่างถ่านหอมๆแล้วนำลงไปเคี่ยวในน้ำซุปพื้นฐานจากคัตสึโอะดาชิยาวนานถึง 2 ชั่วโมงเต็ม เพิ่มท็อปปิ้งก่อนเสิร์ฟด้วยเนื้อปลาหั่นชิ้นลูกเต๋า,เห็ดชิเมจิ,ต้นหอมจีนซอย รสชาติเค็มกลมกล่อมอุดมไปด้วยรสของทะเลอย่างเข้มข้นครับ

เมนูลำดับที่สิบสองถือเป็นของสามัญประจำโอมากาเสะเกือบทุกแห่งก็คือ "Katsutera" (140 บาท) ขนมคาสเทลล่าหรือเค้กไข่สไตล์ญี่ปุ่นซึ่งสูตรของทาง "Ren Omakase" นั้นไม่ผสมแป้งลงไปเลยแม้แต่น้อย ส่วนประกอบมีแค่ไข่ขาวตีขึ้นฟูจนนุ่มละเอียดผสมไข่แดง,น้ำตาล,เนื้อกุ้งตามอัตราส่วนลับนำเข้าอบในเตาควบคุมอุณหภูมิคงที่เป็นเวลากว่า 2 ชั่วโมงเต็มประทับตราร้าน "Mizu Mori" ด้วยแท่งเหล็กร้อนๆนาบลงไปก่อนเสิร์ฟ มีรสชาติหวานละมุนกำลังดีเด้งเหนียวหนึบเคี้ยวสู้ฟันชวนฝันราวกับกำลังกินก้อนมาร์ชเมลโลว์แต่หอมกลิ่นไข่บางๆ ส่วนของหวานอย่างสุดท้ายได้แก่ "Yuzu Ice-Cream" (120 บาท) ไอศครีมเนื้อซอร์เบต์คล้ายเกล็ดน้ำแข็งไสทำจากน้ำส้มยุสุสกัดเข้มข้นนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นตักใส่ถ้วยเสิร์ฟให้ลูกค้าท่านละหนึ่งลูก มีรสชาติเปรี้ยวอมหวานมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวเย็นสดชื่นช่วยรีเฟรชให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่าพร้อมเดินออกจากร้านอย่างมีความสุข ถ้ารู้สึกว่ารายการไหนอร่อยตรึงใจก็สามารถสั่งแบบ A La Carte เพิ่มได้ซึ่งเราใส่ราคาจริงๆในวงเล็บต่อท้ายชื่อแต่ละเมนูให้เรียบร้อย โดยแฟนผมออเดอร์ "Kampachi Nigiri" (ราคา 200 บาท) อีกคำ เสร็จแล้วเรียกน้องพนักงานมาคิดเงินที่โต๊ะกันเลยครับ

มื้อนี้เรามากินกันสองคนจ่ายไป 2,672.65 บาท (รวม Vat.7% / Service Charge 10% เรียบร้อย) เมื่อมียอดค่าใช้จ่ายครบทุกๆ 1,000 บาทรับแสตมป์ 1 ดวงสะสม 10 ช่องรับสิทธิ์คอร์สโอมากาเสะมูลค่า 999 บาทฟรี 1 ท่านหรือเปลี่ยนเป็น 16 เมนู 1,599 กับ 19 เมนู 2,599 บาทก็ได้แต่ต้องชำระเงินค่าส่วนต่างเพิ่ม ยอมรับตามตรงเลยว่าไม่ค่อยอิ่มแต่อร่อยใช้วัตถุดิบคุณภาพสูงผ่านมือเชฟซึ่งมีประสบการณ์กว่า 10 ปีเต็ม ดีงามทุกคำแบบนี้ได้รับคะแนนความอร่อยและคุ้มไปเลย 5 ดาวเต็มครับผม🌟🌟🌟🌟🌟


พิกัด : เลขที่ 3/1 ถนนกัลปพฤกษ์ แขวงบางแค เขตบางแค กรุงเทพมหานคร 10160

เปิดให้บริการทุกวันไม่มีวันหยุดตั้งแต่เวลา 11.00-22.00 น. (อาจมีการปรับเปลี่ยนตามนโยบายของรัฐบาล)

โทร. 096-363-9633


โอมากาเสะเปิดให้บริการทุกวันๆละ 3 ครั้งได้แก่ 12.00น. / 16.00น. และ 19.00น. สูงสุด 9 ท่านต่อรอบเท่านั้น

อ่านรีวิวแล้วชอบรบกวนช่วยกด Share อวดเพื่อนๆของคุณ

แล้วตามไปกดถูกใจเพจของเราที่นี่ > https://www.facebook.com/FoodAddictsThai/ <

และอย่าลืมกด See First เพื่อที่จะได้ไม่พลาดรีวิวใหม่ๆของเรานะ 😘😘😘



ดู 5,117 ครั้ง0 ความคิดเห็น
bottom of page