top of page
ค้นหา
  • รูปภาพนักเขียนFood Addicts - เสพติดการกิน

รีวิว Medium Rare Steak & Wine ร้านสเต็กเฮ้าส์คุณภาพระดับพรีเมี่ยมและคลังไวน์ อยู่ในซอยประดิพัทธ์ 10

อัปเดตเมื่อ 13 ก.ค. 2566



วันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ถือโอกาสนัดครอบครัวพร้อมหน้าออกมาหาทานร้านเนื้อคุณภาพดีรสชาติอร่อยๆด้วยกัน โดยเราได้พิกัดมาจากกลุ่ม "ชมรมคนรักเนื้อ" มีสมาชิกท่านหนึ่งได้โพสต์ภาพเนื้อย่างส่วนโทมาฮอว์กชิ้นใหญ่โตน่ากัดให้จมเขี้ยวของร้าน "Medium Rare Steak & Wine" อยู่ภายในซอยประดิพัทธ์ 10 ไปหาข้อมูลมาเพิ่มเติมร้านนี้ถือว่ามีดีกรีไม่ธรรมดาเพราะได้รับเลือกเป็น Wongnai Users' Choice ต่อเนื่อง 5 ปีซ้อน ตั้งแต่ปี 2017-2021 คะแนนรีวิวจากทุกสำนักอยู่ที่ 4.2-4.3 เต็ม 5 ดาว จุดเด่นก็ตามชื่อที่ตั้งเลยคือเน้นเนื้อวัวคุณภาพดีกับไวน์หลากหลายยี่ห้อมาจากแหล่งผลิตชั้นนำทั่วโลกรวมเอาไว้ครบจบในที่เดียว ส่วนราคานั้นถือว่าค่อนข้างสมเหตุสมผลกับวัตถุดิบและเมนูที่ทางร้านนำเสนอ ในวันธรรมดาจะเปิดแค่ช่วงเย็นคือ 17.00-22.30 น. ส่วนวันหยุดส.-อา.นั้นเปิดยาวตั้งแต่ 11.00-22.30 น. (ปิดร้านทุกวันจันทร์) ส่วนวิธีการเดินทางหากมาด้วยรถยนต์ส่วนตัวร้านอยู่กลางซอยประดิพัทธ์ 10 มีลานจอดรถขนาดใหญ่ให้บริการ หากมาด้วยบริการขนส่งสาธารณะลง BTS สถานีอารีย์ หรือ BTS สถานีสะพานควาย แล้วเรียกรถให้ขับมาตาม Google Maps อีกแค่ประมาณ 1.3-1.5 กิโลเมตรก็จะถึงหน้าร้านที่มีรูปวาดน้องวัวตัวอ้วนขนาดใหญ่พิเศษขาสั้นยืนอยู่บนหญ้าสีขาวดำแบบนี้แสดงว่ามาถูกร้านแล้วแน่นอนครับ

ตัวร้านเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของตึกที่แบ่งห้องให้เช่าอยู่ชั้นล่างสุดด้านขวามือพร้อมมีป้ายไฟ Wongnai Users' Choice ตั้งแต่ปี 2017-2019 แสดงความอร่อยและได้รับการยอมรับอย่างต่อเนื่องของทางร้าน ทางเข้าเป็นประตูกระจกสีดำขนาดใหญ่คุมโทนเข้มแสดงความเป็น Steak House สไตล์ยุโรปที่ดุดันได้เป็นอย่างดี ตอนนี้สมาชิกร่วมโต๊ะของผมยังมากันไม่ครบเลยถือโอกาสขอทางร้านถ่ายรูป-เก็บบรรยากาศโดยรอบไปล่วงหน้าก่อนแล้วกันครับผม

เปิดเข้าประตูมาในร้านชั้น 1 ก็จะพบกับมุมโซฟาและป้ายร้านขนาดใหญ่ชวนให้นั่งถ่ายรูป ข้างๆกันเป็นครัวหลักของทางร้านที่กั้นด้วยกระจกใสทำให้มองเห็นบรรยากาศการปรุงอาหารในครัวได้อย่างชัดเจนและตู้ Dry Aged เนื้อวัว Australian Wagyu Prime Ribs พร้อมมีป้าย Tag บ่งบอกว่าถูกบ่มเอาไว้ตั้งแต่วันไหนและขนาดกี่กิโลกรัม (เพราะน้ำในเนื้อจะหายไปจากการบ่มและต้องตัดเนื้อด้านนอกทิ้งไปบางส่วน) ตอนนี้ชิ้นที่ถูกบ่มมานานสุดคือตั้งแต่วันที่ 07/05/2019 ขนาด 14.8 กิโลกรัม ไม่แน่ใจว่าเนื้อในตู้นี้ตัดแบ่งขายหรือมีคนจองเอาไว้มั้ยหากสนใจพร้อมมีเงินถึงก็ลองสอบถามทางร้านดูครับ ข้างๆตู้ก็เป็นป้าย Wongnai Users' Choice ตั้งแต่ปี 2017-2020 และยังได้รับเลือกปี 2021 ด้วย (อ้างอิงหน้าเว็บไซต์ของ Wongnai ) แต่เหมือนว่าใบประกาศน่าจะยังไม่ถูกส่งมาให้ที่ร้าน

ขึ้นบันไดมาที่ชั้น 2 ก็จะพบกับพื้นที่นั่งรับประทานอาหารโดยตอนแรกนั้นถ้าสังเกตดีๆจุดนี้จะมีม่านสีดำปกคลุมเอาไว้อยู่ก่อนเปิดร้านแต่ตอนนี้เปิดออกรับแสงสว่างจากธรรมชาติเข้ามาภายในร้านอย่างทั่วถึง เต็มไปด้วยโต๊ะเรียงกันมากมายรองรับลูกค้าได้ตั้งแต่ 2-4 คน ไปจนถึงห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับลูกค้าได้มากถึง 50 คน ทุกโต๊ะเป็นไม้เนื้อแข็งสีเข้มเสริมความมั่นคงด้วยโครงเหล็กสีดำพร้อมโต๊ะจิ๋วสีขาวเล็กๆสำหรับทำเป็นโต๊ะเสริมเอาไว้วางเครื่องดื่ม เก้าอี้เป็นเหล็กสีดำแข็งแรงขาทั้ง 4 ข้างเสริมจุกยางเพื่อให้นั่งได้อย่างมั่นคงไม่มีเสียงดังเวลาเลื่อนเข้าหรือออก ทุกโต๊ะวางแก้วน้ำ/ที่รองแก้ว/จาน/มีด+ส้อมและผ้ากันเปื้อนสีดำปักชื่อร้านเอาไว้เรียงอย่างสวยงาม การตกแต่งร้านเน้นไปทาง Loft พื้นปูนขัดผนังอิฐก่อตัดกับสีดำและไฟหลอดไส้สีส้มให้ความอบอุ่นแต่ดุดันช่วยบ่งบอกสไตล์ของร้านได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีบาร์เครื่องดื่มขนาดใหญ่เอาไว้รองรับสายดื่มโดยเฉพาะอีกด้วยครับผม

เมนูของที่ร้านนี้เป็นแบบรายการใบพิมพ์ขาวดำไม่มีรูปประกอบทำให้คาดเดาปริมาณที่จะมาเสิร์ฟแต่ละจานนั้นทำได้ค่อนข้างยาก (แต่ส่วนตัวอาศัยดูรูปจากรีวิวเก่าๆบอกเลยว่าปริมาณไม่ธรรมดา) หน้าแรกรวมเมนูเนื้อนำเข้ากับวัตถุดิบพิเศษที่เป็น Signature ของทางร้าน แพงสุดก็คือเนื้อ Dry Aged Prime Ribs Special บ่มด้วย Jack-Daniel's Honey 400 วัน ราคา 1,300 บาท ต่อ 100 กรัม (คาดว่าน่าจะเป็นเนื้อในตู้ด้านล่างเมื่อกี้) นอกนั้นเป็นเนื้อ Tomahawk Cut ของยี่ห้อ Rangers Valley / WX จากออสเตรเลียเลี้ยงด้วยธัญพืชตั้งแต่ 150-270 และ 400 วัน ราคากิโลกรัมละ 2,415 ขีดละ 279 และขีดละ 359 บาทตามลำดับ Black Angus จาก USA ราคาขีดละ 454 บาท เนื้อแกะมาจากออสเตรเลียยี่ห้อ Wammco กิโลกรัมละ 2,945 บาท ฟัวกราส์และ Scottish King Scallop จานละ 1,234 กับ 1,845 บาทตามลำดับ หน้าต่อไปเป็นเมนูข้าวผัดเนื้อวากิวพร้อมท๊อบปิ้งราคาเริ่มต้นที่ 300-750 บาท พาสต้าราคาเริ่มต้นที่ 358-1,960 บาท เมนูซุปราคาเริ่มต้นที่ 289-399 บาท หอยนางรมสดนำเข้าจากฝรั่งเศสสายพันธุ์ Gillardeau ตัวละ 240 บาท สลัดผัดสดกับผักเคียงสเต็กราคาจานละ 129-567 บาท ของว่างและเครื่องเคียงจากมันหวาน/มันฝรั่งและขนมปังราคาจานละ 80-178 บาท ตามมาด้วย Main Couse ที่มีส่วนของเนื้อและราคาหลากหลายกว่าหน้าแรกเช่นเนื้อวัวญี่ปุ่นไซตามะระดับ A4 และเนื้อหมูส่วนพอร์คชอป หากต้องการเพิ่มเครื่องเคียงก็รายการละ 80 บาท ยกเว้นผักโขมอบชีสราคา 278 บาท โดยแต่ละจานนั้นจะถูกหรือแพงนั้นก็ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่นำมาปรุงและมีแบรนด์สินค้ากำกับไว้ช่วยการันตีว่าของที่ใช้นั้นคุณภาพสูงได้เป็นอย่างดีครับ

หน้าต่อมาเป็นซีฟู๊ดย่างกับพาสต้าทั้งบอสตันล๊อบสเตอร์เป็นๆนำเข้าจาก USA ตัวละ 1,960 บาทและตัวขนาดใหญ่พิเศษ 1-3 กิโลกรัมขีดละ 250 บาท ปูอลาสก้านำเข้าจากนอร์เวย์และรัสเซียขีดละ 338.80 บาท หอย King Scallop จากสกอตแลนด์ราคา 1,345-1,845 บาท แซลมอนจากน่านน้ำยุโรปย่างจานละ 767 บาท พาสต้าแบบอิตาลีจานละ 358-459 บาท หน้าต่อไปเอาใจสายเครื่องดื่มเริ่มจาก Champagne และ Sparkling ราคาเริ่มต้นที่ขวดละ 1,300 ไปจนถึง 14,500 บาท ไวน์ขาวมีทั้งเสิร์ฟเป็นแก้วและยกทั้งขวดราคาเริ่มต้นที่ 350-3,000 บาท ไวน์แดงแบบ House Wines และ California มีหลายระดับ Body จากหลากหลายประเทศทั่วโลก เสิร์ฟทั้งแบบแก้วและยกทั้งขวดราคาเริ่มต้นที่ 450-9,900 บาทเรียกได้ว่าเลือกดื่มไวน์ชนิดต่างๆได้ตามกำลังทรัพย์ที่มีเลยครับ

หน้าต่อไปเป็นไวน์จากโลกเก่าทั้งหลายเริ่มจากฝรั่งเศสมีให้เลือกทั้ง Medium และ Full Body ส่วนราคานั้นก็แตกต่างชามชนิดและปีที่เริ่มหมักราคาเริ่มต้นที่ขวลละ 2,200 บาท ไปจนถึงราคาขวดละ 15,000 บาท ถือว่าเป็นสวรรค์ของสายไวน์ที่แท้จริง นอกจากนี้ก็ยังมีไวน์จากสเปนให้เลือกสั่งอีกมากมายราคาเริ่มต้นที่ขวดละ 2,000 บาท ไปจนถึงขวดละ 6,300 บาท และไวน์แดงจากประเทศอิตาลีเริ่มต้นที่ขวดละ 2,000 บาท ไปจนถึงราคาแพงที่สุดก็ขวดละ 4,200 บาท เห็นเมนูแล้วถึงกับต้องสอบถามน้องพนักงานเลยว่าร้านเล็กๆแค่นี้เอาไวน์จากทั่วโลกที่มีจำนวนมากมายขนาดนี้ไปเก็บตรงไหนก็ได้คำตอบมาว่าด้านหลังครัวตรงที่เป็นกำแพงอิฐส้มเป็นห้องเย็นสำหรับเก็บไวน์โดยเฉพาะนั่นเอง ถ้าหากใครนำไวน์จากด้านนอกมาทานเองที่ร้านเขาคิดค่าเปิดขวดเพิ่ม 1,000 บาทต่อขวดด้วยนะครับ

หน้าต่อไปก็ยังคงเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แต่เอาใจสายอื่นๆนอกจากไวน์บ้างเช่น Cocktails/Beer/Single Malt /Spirits /Whiskies (มีให้เลือกทั้งฝั่งยุโรปและญี่ปุ่น) ถ้าหากใครไม่ดื่มแอลกอฮอล์ก็มี Mocktails /กาแฟร้อน-เย็น/ชา/น้ำอัดลมและน้ำแร่บรรจุขวดราคาเริ่มต้นที่ 35-190 บาท ไปจนถึงขนมหวานสไตล์ยุโรปราคาจานละ 139-189 บาท ราคาที่เห็นในเล่มเมนูนี้ไม่รวม Vat. 7% กับ Service Charge อีก 10% ถือว่าราคาค่อนข้างสูงแต่ลูกค้าให้การยอมรับต่อเนื่องขนาดนี้แปลว่าต้องมีข้อดีที่ทำให้คนจำนวนมากยอมจ่ายเพื่อจะได้ทานอย่างแน่นอนครับ

เมนูจานแรกแฟนผมสั่งมาเพราะอยากลองทานมากนั่นคือหอยนางรมสายพันธุ์พิเศษจากฝรั่งเศส Gillardeau Oyster เราสั่งมา 2 ตัวราคาตัวละ 240 บาท ส่วนตัวเคยทานแค่ Fin De Clare ตัวเล็กแต่รสหวานมีกลิ่นน้ำทะเล ส่วนหอยนางรมชนิดนี้เหมือนอยู่กึ่งกลางระหว่างหอยนางรมฝรั่งเศสกับหอยนางรมสุราษฎร์ธานีตรงที่เนื้อเยอะแต่ก็ไม่ใหญ่-แน่นนักและได้รสหวานฉ่ำมากกว่า จะทานคู่กับซอสน้ำส้มสายชูผสมหอมแดงสับหรือบีบน้ำเลมอนสดลงไปก่อนทานก็อร่อยสุดๆ ส่วนวิธีการดูว่าหอยนางรมชนิดนี้เป็นสายพันธุ์ Gillardeau จริงหรือไม่ ให้ดูที่เปลือกฝาหอยจะมีลายสลักรูปตัว G แบบนี้ทำโดยเกษตรกรผู้เลี้ยงหอยชนิดนี้แสดงว่าเป็นของแท้ เพราะความอร่อยของมันทำให้มีของเลียนแบบแอบอ้างขายอยู่ตามตลาดเยอะมากๆ ถ้าหากมาทานที่ร้านนี้มั่นใจเลยว่าได้ทานของแท้แน่นอนครับผม

จานต่อไปเราสั่งมาเผื่อสมาชิกท่านอื่นที่ไม่ทานหอยนางรมสดคือ "Seared King Scallop With Romesco Sauce" ราคา 1,845 บาท เป็น Scottish King Scallop หรือหอยเชลล์ยักษ์นำเข้าจากประเทศสกอตแลนด์ที่มาจากทะเลน้ำเย็นและไหลเชี่ยวผลที่ได้คือเนื้อแน่น-เด้งสู้ฟันเป็นเส้นเล็กๆราวกับเนื้อปูอัดแน่นอยู่ในตัวหอยขนาดใหญ่ โดย 1 จานนั้นทางร้านเสิร์ฟให้เพียงตัวเดียวส่วนอีก 2 ตัวที่เหลือนั้นใส่มาให้เป็น Scallop ของฮอกไกโดซึ่งได้ความนุ่มนวลหวานแต่ไม่เด้งสู้ฟันเท่ากับของสกอตแลนด์ ทานกับซอส"รูแม็สกู"รสเปรี้ยวมะเขือเทศผสมกับผักรสหวานๆและน้ำส้มสายชูเผ็ดพริกไทยอ่อนๆ เพิ่มความกรอบหวานที่เข้ากันกับตัวหอยเชลล์เพื่อเพิ่มรสสัมผัสด้วยหน่อไม้ฝรั่งลวกได้อย่างลงตัว ถ้วยต่อไปเป็นซุปชวนให้ซดคล่องคอแต่รสชาติเข้มข้นคือ "Lobster Bisque" ราคา 289 บาท เป็นซุปข้นทำจากเปลือกกุ้งบอสตันล๊อบสเตอร์บดผสมกับเครื่องเทศกลายเป็นซุปสัมผัสเหนียวข้นรสเค็มกลมกล่อม ทานกับเนื้อกุ้งล๊อบสเตอร์เนื้อเด้งๆตัดด้วยขนมปังหอมเนยกรุบกรอบ ซดแล้วหอมสดชื่นจนหยดสุดท้ายเลยครับผม

เมนูต่อไปถูกยกออกมาเสิร์ฟอย่างอลังการนั่นก็คือ "Live Boston Lobster" แบบยกทั้งตัวให้เชฟปรุงออกมาเป็น "Tagliatelle Pasta With White Wine And Herbs" ราคา 1,960 บาท หน้าตาดูคล้ายกับ Canadian Lobster ที่เคยทานมาก่อนแต่รสชาติกับสัมผัสบอกได้เลยว่าคนละเรื่อง โดยนำไปย่างแกะเอาเนื้อมาหั่นเป็นชิ้นๆพอคำผัดกับพาสต้าเส้นทาญาเทเล่ลวกสุกกำลังดีแบบ Al Dente ปรุงรสด้วยน้ำมันมะกอก/เกลือ/พริกไทย/พริกแห้งทอด/กระเทียมทอด/ไวน์ขาว เพิ่มสัมผัสเคี้ยวแตกในปากด้วยไข่กุ้งจากบอสตันล๊อบสเตอร์อยู่ภายในตัวที่เชฟเลือกมาให้ ใส่คอมโบความอร่อยในช่วงสุดท้ายด้วยมันจากหัวกุ้งล๊อบสเตอร์สุดเข้มข้นที่ช่วยประสานรสชาติทั้งจานให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ฟินห์กับเนื้อกุ้งผัดกับพาสต้าแล้วยังมีส่วนของก้ามที่ทางร้านกระเทาะเปลือกมาให้แล้วพร้อมทาน เนื้อนุ่มฉ่ำน้ำไม่ติดเปลือกเคี้ยวแล้วเด้งสู้ฟันนิดๆก่อนจะสลายหายลงไปในคอ เรียกได้ว่าเมนูจานนี้ใช้ทุกๆส่วนของกุ้งได้เกิดประสิทธิภาพทางด้านรสชาติอย่างสูงสุด คงเหลือแค่เปลือกที่ไม่ได้เอาไปบดเป็นซุปคุ้มกับราคาที่จ่ายไปมากครับ

จานต่อไปเป็นเมนูอาหารไทยที่เข้ากับเนื้อวัวคุณภาพดีของทางร้านได้เป็นอย่างดีนั่นคือ "Australian Wagyu Fired Rice" ราคาจานละ 300 บาท เป็นมันเนื้อวากิวออสเตรเลียเจียวกรอบๆจนเป็นกากเนื้อนำมาบดละเอียดผัดกับข้าวสวยหอมมะลิไทยปรุงรสด้วยซีอิ๊วดำรสหวานอ่อนๆและสเต็กเนื้อวัวย่างแบบ Medium Rare หั่นเต๋า เวลาที่จะทานก็แค่ราดด้วยพริกน้ำปลาโรยพริกสดกับกระเทียมสับดองน้ำปลาลงไปเยอะๆ ได้รับความอร่อยของไขมันเนื้อวัววากิวเจียวกรุบกรอบผสมกับความนุ่มของข้าวและความชุ่มฉ่ำของเนื้อสเต็กออสเตรเลียกับพริกน้ำปลา เป็นเมนูที่หลายคนน่าจะคุ้นเคยและฟินห์ไปกับจานนี้ได้โดยง่ายเพราะชาวไทยคนไหนๆก็เคยทานข้าวผัดกันมาก่อนทั้งนั้นครับ

เมนูต่อไปเป็นเหล่าของทอดที่สั่งมาทานเล่นๆระหว่างรอเนื้อจานใหญ่มาเสิร์ฟนั่นก็คือ "Sweet Potato Fries" ราคา 178 บาท เป็นมันหวานหั่นเป็นแท่งทอดกรอบรสชาติเข้มข้นหวานมันโรยเกลือมาตัดเค็มยิ่งทำให้ความหวานมีความเด่นชัดยิ่งขึ้นไปอีก เรียกได้ว่าทานเปล่าๆก็อร่อยแบบไม่ต้องเรียกหาซอสเพิ่มแต่อย่างใดเลยครับ เมนูต่อมายังคงเป็นมันฝรั่งทอดกรอบอย่าง "Potato Wedges" ราคา 129 บาท เป็นมันฝรั่งแท่งขนาดใหญ่ทอดกรอบที่ดูด้านนอกแล้วก็คงคิดว่าเหมือนกับร้านอื่นๆตรงที่กรอบนอกนุ่มในแต่ร้านนี้กรอบตั้งแต่ด้านนอกยันเนื้อในจึงอร่อยมากขึ้นเป็นพิเศษ ทานคู่กับซอสศรีราชามาโยรสเปรี้ยวอมหวานหอมกลิ่นซอสพริกเผ็ดฉุนอ่อนๆช่วยตัดความเลี่ยนจากของทอดได้เป็นอย่างดี เมนูต่อไปคือ "Potato Chips" ราคา 138 บาท เป็นมันฝรั่งแผ่นบางทอดกรอบแบบเดียวกับที่บรรจุถุงขายตามซุปเปอร์มาร์เก็ตแต่สูตรเด็ดเคล็ดลับความอร่อยของร้านนี้อยู่ที่ความฟูกรอบมีฟองอากาศแทรกในแผ่นมันฝรั่งทุกอนูทำให้เมื่อเข้าปากแล้วกรอบสลายแตกละเอียดหายไปในปาก เพิ่มรสชาติด้วยเกลือเพื่อทานเปล่าๆหรือจิ้มกับซอสศรีราชามาโยที่แถมมาให้ในชุดก็อร่อยกรอบช่วยเพิ่มรสชาติให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมไปอีกขึ้นนึงเลยครับผม

จานหลักที่เราเล็งเอาไว้ว่าจะสั่งมาทานในวันนี้ถูกยกออกมาเสิร์ฟก็คือ "Australian 270-Days Grain-Fed Black Angus Tomahawk From Rangers Valley" หนัก 1.3 กิโลกรัมขายขีดละ 279 บาท ราคารวมทั้งหมด 3,627 บาท เป็น Tomahawk Cut แบบยกทั้งชิ้นพร้อมกระดูกหมักด้วยเกลือกับเครื่องสมุนไพรสูตรของที่ร้านจนเข้มข้นเข้าเนื้อแล้วย่างให้ด้านนอกหนังเกรียมกรอบหอมกลิ่นควันติดไหม้นิดๆ (สายสุขภาพเห็นแล้วต้องไม่ถูกใจสิ่งนี้อย่างแน่นอนแต่มันดีงามสุดๆ) ด้านในเนื้อสุกอมชมพูราวกับสีของกลีบกุหลาบแบบ Medium Rare ตามชื่อตั้งร้าน รสเนื้อวัวเข้มข้นไขมันหอมกรุ่นผสานเข้ากับกลิ่นสมุนไพรและเกลือรสเค็มสุดกลมกล่อม ปกติจานนี้ก็ทานได้เลยตามแบบฉบับร้านสเต็กสไตล์ยุโรปแต่ก็มีซอสพิเศษเอาใจคนไทยให้สามารถขอเพิ่มได้ฟรี (เมื่อสั่งจานเนื้อเมนูใดก็ได้ของทางร้าน) นั่นก็คือ "น้ำจิ้มแจ่ว" รสชาติเปรี้ยวอมหวานหอมกลิ่นน้ำมะขามเปียก/พริกคั่ว/ข้าวคั่วและเพิ่มความสดชื่นด้วยต้นหอมซอยละเอียดเมื่อทานคู่กับเนื้อย่างแล้วก็อยากได้ข้าวเหนียวเพิ่มขึ้นมาทันที (แต่ร้านนี้ไม่มีให้สั่งหรอกนะ) ส่วนเครื่องเคียงอีกจานเป็นมันบดรสเค็มหอมเนยผสมสมุนไพรกับผักย่างทั้งซูกินี่/หน่อไม้ฝรั่ง/พริกหวานยักษ์ปอกเปลือกและกระเทียมย่างทั้งหัวแถมให้ฟรีเมื่อสั่ง Tomahawk Cut แบบยกทั้งชิ้น ถ้าหากอยากทานผักย่างชุดนี้แต่ไม่สั่งเนื้อโทมาฮอว์กย่างทานทั้งชิ้นทางร้านก็มีขายแยกชื่อเมนูว่า "Grill Veggies" ราคาจานละ 129 บาทครับผม

จานหลักอีกเมนูสั่งมาเพราะมีสมาชิกที่ไม่ทานเนื้อวัวแต่ชอบทานเนื้อแกะกับ "Lamb Tomahawk" จานนี้เสิร์ฟขนาด 1 กิโลกรัมราคา 2,945 บาท เป็นซี่โครงแกะหมักเครื่องเทศย่างแบบเดียวกับเนื้อวัวแต่มีความสุกอยู่ในระดับ Blue Rare ส่วนเรื่องกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ชวนให้กังวลนั้นบอกได้เลยว่าเบาบางมากๆ (รสชาติกับกลิ่นย่างถ่านนั้นกลบจนเกือบหมดคงเหลือแต่ความนุ่มและรสชาติอันหอมหวาน) เสิร์ฟมาคู่กับซอสเจลลี่มินต์รสหวานหอมเย็นกลิ่นเปปเปอร์มิ้นต์ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับเนื้อแกะช่วยให้ทานได้เรื่อยๆจนชิ้นสุดท้าย เครื่องเคียงจานนี้ไม่แถมแต่แฟนผมอยากทานเลยสั่งมาเป็น "Baked Spinach" หรือผักโขมอบชีสราคา 278 บาท จัดเสิร์ฟมาในถ้วยรูปขนาดเล็กทรงใบไม้ เป็นใบผักโขมสดติดโคนก้านเคี้ยวกรุบกรอบปรุงรสเค็มอ่อนๆอบกับมอสซาเรลล่าชีสและเพิ่มรสชาติให้นัวด้วยผงชูรสของฝรั่งนั่นก็คือพาเมซาชีสขูดด้านบน มีทั้งความเค็มหอมมันกลมกล่อมเข้ากับเนื้อย่างได้ดีสุดๆเลยครับ

เนื้อวัวชั้นดีก็ต้องคู่กับไวน์โดนๆแต่เนื่องจากร้านนี้มีตัวเลือกค่อนข้างเยอะเลยบอกรสชาติที่ต้องการกับพนักงานคือ "ขอไวน์แดงที่รสชาติหวานที่สุด 1 แก้ว" ทางร้านจึงจัดมาเป็น "Crane Lake - Cabernet Sauvignon" จาก California Body M-F ราคาแก้วเล็กนี้ 550 บาท เป็นไวน์รสเบาดื่มง่ายมีความหวานฝาดปนขมเล็กน้อยถึงแม้จะไม่ได้รสหวานอย่างที่ใจต้องการแต่ก็ถือว่ากลมกล่อมไม่บาดคอหรือเหม็นกลิ่นแอลกอฮอลล์มากจนเกินไป ทานคู่กับเนื้อย่างเค็มๆรสไขมันเข้มข้นของทางร้านได้อย่างลงตัวดีมากครับ นอกจากน้ำแร่แล้วยังสั่งน้ำหวานมาอีกแก้วเพราะมื้อนี้เต็มไปด้วยอาหารรสเค็มๆเต็มไปหมดจึงเลือกมาเป็น "Fruit Punch" ราคา 120 บาท เป็นน้ำพั้นซ์หรือผลไม้รวมผสมโซดารสเปรี้ยวหวานซ่าจั๊กจี้ลิ้นหอมกลิ่นผลไม้รวมขึ้นจมูกดื่มอร่อย-สดชื่นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เลยครับผม

มื้อนี้มาทานกัน 4 คน ราคาอาหารรวม 13,049 บาท เมื่อรวม Vat. 7% กับ Service Charge 10% แล้วรวมทั้งหมด 15,359 บาท เฉลี่ยมื้อนี้จ่ายคนละ 3,839.75 บาท ถือว่าราคาค่อนข้างสูงแต่วัตถุดิบที่ร้านนำมาปรุงก่อนเสิร์ฟนั้นคุณภาพพรีเมี่ยมจริงแถมยังมียี่ห้อของผลิตภัณฑ์นำเข้าอยู่ในเมนูเพื่อเพิ่มความมั่นใจก่อนที่จะตัดสินใจสั่งมาทาน (วัตถุดิบบางอย่างก็เพิ่งเคยทานที่นี่เป็นร้านแรก) เข้าใจแล้วว่าทำไมร้านนี้จึงได้รับความไว้วางใจจากชาว Wongnai มาถึง 5 ปีซ้อน รับคะแนนไป 5 ดาวเลยจ้า🌟🌟🌟🌟🌟


พิกัด : เลขที่ 12/1 ซอยประดิพัท 10 ถนนประดิพัทธ์ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร 10400

ร้านเปิดทุกวัน (ปิดให้บริการวัน จ.) วัน อ.-ศ.เปิดเวลา 17.00-22.30 น. วันส.-อา.เปิดเวลา 11.00-22.30 น.

โทร. 063-838-5389

Facebook : https://www.facebook.com/MediumRareBangkok/

อ่านรีวิวแล้วชอบรบกวนช่วยกด Share ให้เพื่อนๆอ่าน

แล้วตามไปกดถูกใจเพจของเราที่นี่ > https://www.facebook.com/FoodAddictsThai/ <

และอย่าลืมกด See First เพื่อที่จะได้ไม่พลาดรีวิวใหม่ๆของเรานะ 😘😘😘



ดู 2,505 ครั้ง0 ความคิดเห็น
bottom of page