top of page
ค้นหา
  • รูปภาพนักเขียนFood Addicts - เสพติดการกิน

รีวิว "ลาภปาก(Laappaak Dining room)" ร้านอาหารไทยรสจัดจ้าน ในบรรยากาศคาเฟ่แสนร่มรื่นติด MRT หัวลำโพง

อัปเดตเมื่อ 5 ก.ค. 2566



ร้านอาหารไทยรสชาติถึงเครื่องในบรรยากาศอันสวยงามไม่จำเป็นต้องแพงเสมอไป เพราะวันนี้ผมพาครอบครัวออกมาทานมื้อเย็นสุดพิเศษด้วยกันที่ "ลาภปาก (Laappaak Dining room)" เป็นอีกร้านซึ่งตั้งอยู่ค่อนข้างลึกลับเพราะต้องสังเกตป้ายชื่อกับทางเข้าดีๆหน่อยถึงจะรู้ว่าตั้งอยู่บริเวณนี้ ส่วนตัวเคยสั่งอาหารเดลิเวอรี่ไปทานบ้านช่วงประกาศ Lock Down จำได้ว่าอร่อยให้ปริมาณเยอะและคุ้มค่าดีมากๆเมื่อเทียบกับราคา จุดเด่นอีกอย่างที่เชิญชวนให้เราต้องแวะมานั่นก็คือการตกแต่งสวยงามราวกับนั่งอยู่ภายในร้านคาเฟ่สุดหรูใจกลางย่านสุขุมวิท-ทองหล่อ ส่วนวิธีการเดินทางก็ถือว่าสะดวกมากเพราะติดกับ MRT สถานีหัวลำโพงฝั่งเดียวกับพิพิธภัณฑ์รถไฟไทยเดินออกมาจุดหมายจะอยู่ทางด้านขวามือทันที หากนำรถยนต์ส่วนตัวมาเองรอบๆบริเวณนี้มีลานจอดให้บริการอยู่มากมายแต่ค่อนข้างไกลมากแนะนำว่าให้เดินทางด้วยบริการขนส่งสาธารณะดีที่สุด หน้าร้านมีจุดสังเกตง่ายๆนั่นคือเต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้สีสันสวยงามนานาชนิดตกแต่งหนาแน่นทั้งพื้นที่พร้อมกับป้ายชื่อตรงริมรัั้วสีขาวๆเขียนว่า "Lลลp Pลลk Thai Cuisine" แบบนี้แสดงว่ามาถูกแล้วโดยจะมีอะไรให้เราสั่งบ้างนั้นมาดูที่เล่มเมนูหน้าประตูทางเข้ากันก่อนครับ

เมนูหน้าร้านถูกแบ่งออกเป็น 2 เล่มหลัก เริ่มจากปกแข็งก่อนหน้าแรกก็คืออาหารเรียกน้ำย่อยต่างๆราคาเริ่มต้นที่จานละ 109-189 บาท ส้มตำหลากหลายชนิดกว่า 14 รายการสุดแซ่บราคาเริ่มต้นที่ 89-169 บาท ลาบ-น้ำตกและเมนูอีสานไว้กินเป็นกับแกล้มราคาเริ่มต้นที่ 99-149 บาท สารพัดยำใส่เครื่องต่างๆมีให้สั่งรวมกว่า 12 รายการราคาเริ่มต้นที่ 109-139 บาท เมนูผัด/แกงไทยและน้ำพริกมาพร้อมผักสดๆเลือกเปลี่ยนเนื้อสัตว์ได้ตามใจราคาเริ่มต้นที่ 129 จนถึงเสิร์ฟบนหม้อไฟขนาดใหญ่ราคา 269 บาท จานไหนสามารถเสิร์ฟเป็นมังสวิรัติทานได้จะมีตัวอักษรเขียนว่า "VG" สีแดงกำกับอยู่ที่ท้ายชื่อของเมนูนั้น ส่วนราคาจะสมเหตุผลหรือไม่ต้องมาดูที่ปริมาณ/รสชาติกันครับ

หน้าต่อไปเป็นต้มยำและแกงจืดเสิร์ฟทั้งแบบถ้วยและหม้อไฟราคาเริ่มต้นที่ 149-279 บาท เมนูทำจากปลายกทั้งตัวมีกะพง/ช่อนกับทับทิมราคาตัวละ 300-350 บาท อาหารจานเส้นทั้งผัดไทย/ก๋วยเตี๋ยว/สปาเก็ตตี้เลือกได้ว่าจะเปลี่ยนเป็นเส้นใหญ่-เส้นหมี่-เส้นเล็ก-มาม่าหรือวุ้นเส้นได้ตามใจราคาเริ่มต้นที่ 89-119 บาท ข้าวผัดและอาหารจานเดียวพร้อมทานราคาก็เริ่มต้นที่จานละ 89-119 บาท หน้าสุดท้ายเป็นเมนูของทอด/ย่างและลวกจิ้มราคาเริ่มต้นที่ 89-189 บาท เมนูสำหรับมังสวิรัติโดยเฉพาะ 6 รายการราคาเริ่มต้นที่ 89-109 บาท ข้าวเปล่า/ข้าวเหนียว/เส้นขนมจีนและข้าวผัดกระเทียมราคาที่ละ 25-35 บาท หรือจะสั่งเป็นโถใหญ่ราคา 70-80 บาท เล่มเมนูที่เป็นปกอ่อนหน้าแรกคือ "กุ้งแม่น้ำทวิน" ทั้งสปาเก็ตตี้/ข้าวผัด/ผัดไทย/ผัดมาม่าและก๋วยเตี๋ยวคั่วเสิร์ฟพร้อมกุ้งแม่น้ำเผา 2 ตัวจานละ 159 บาท ส่วนตัวเคยสั่งไปกินที่บ้านแล้วกุ้งแม่น้ำสดเด้งดีมาหน้าร้านย่างให้ใหม่ๆคงฟินขึ้นอีกหลายเท่าครับ

หน้าต่อไปเป็นทรีโอซึ่งคล้ายๆกับเมนูทวินแต่เปลี่ยนเป็นกุ้งแม่น้ำเผา 1 ตัวกับหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ 2 ตัวแทนในราคาจานละ 159 บาทเท่าเดิม หมวดสุดท้ายเป็น Special Menu ที่เพิ่งเพิ่มขึ้นมาเป็นพิเศษทั้งข้าวผัดปู/กะเพราปูเสิร์ฟพร้อมไข่ดาวปุยเมฆราคาเริ่มต้นที่ 189-209 บาท ต้มยำมันกุ้งแม่น้ำ 139 บาท/แกงส้มไข่ชะอมกุ้งสด 144 บาท/ปลากะพงยำสมุนไพร 292 บาท/ทอดมันกุ้งผสมเนื้อปู 189 บาท/ไก่ทอดตะไคร้ 89 บาท/ส้มตำไทยใส่ไข่เค็ม 99 บาท/ต้มยำใส่เนื้อปลากะพง 159 บาท/เนื้อปูก้อนผัดพริกเหลือง-ผัดผงกะหรี่ 219 บาท/ยำทะเลรวมลาภปาก 189 บาท/หอยแมลงภู่ผัดฉ่า 139 บาท/ปลากะพงทอดราดซอสน้ำปลา 272 บาท/ลาบหมูทอดกับไก่ซอสส้ม 109 บาท/โดนัทกุ้งทอด 99 บาท/ห่อหมกทะเลกระทงละ 69 บาท/ต้มยำแห้งห่อไข่และแกงจืดปลาหมึกยัดไส้ 120 บาท ราคาโดยรวมในเล่มนี้รู้สึกว่าจะถูกกว่าในปกหนาเล็กน้อยและดูน่าทานหลายเมนูดี แต่จะอร่อยแค่ไหนต้องรอชิมครับ

ใครแวะมาทานข้าวที่ร้านนี้ก็ต้องยกกล้องออกมาถ่ายรูปเพื่อเก็บภาพความประทับใจเพราะมีฉากสวยงามหลากหลายมุมเริ่มต้นจากโซน Outdoor ตกแต่งด้วยสไตล์คาเฟ่เต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวและดอกไม้นานาพรรณทำให้รู้สึกร่มรื่นราวกับอยู่ภายในป่าแห่งความฝันอันสดใส พร้อมภาพกราฟฟิกบนผนังขนาดใหญ่วาดด้วยมือเป็น Signature ของทางร้านให้ยืนโพสต์คู่กัน ส่วนเฟอร์นิเจอร์ทั้งโต๊ะ/เก้าอี้และโซฟาต่างๆเลือกใช้เฉพาะดีไซน์ทันสมัยสีสันสดใสเข้าชุดกันได้ดีเข้ากับบรรยากาศโดยรวม เพิ่มความอบอุ่นชวนนั่งนานๆด้วยโคมระย้ากับไฟหิ่งห้อยดวงกลมเล็กโทนสีส้มทั่วทั้งบริเวณร้าน ใครที่เป็นสายถ่ายรูปหรือเสพบรรยากาศชิลล์ๆรับรองว่าต้องถูกใจสถานที่นี้มากอย่างแน่นอนครับ

ก่อนจะเข้าไปโซนห้องแอร์ด้านในก็มาสะดุดตากับรางวัล "Thai Select Award 2020" หมวด Classic จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ซึ่งการันตีได้เลยว่าอาหารแต่ละจานภายในร้านนี้ใช้วัตถุดิบและปรุงรสชาติตามแบบต้นฉบับไทยแท้ผ่านเกณฑ์ประเมินต่างๆมาแล้วทั้งอร่อย/สะอาด/บริการดีในบรรยากาศอันสวยงามไม่ผิดหวังกลับบ้านอย่างแน่นอน เปิดประตูกระจกมาการตกแต่งค่อนข้างแตกต่างจากภายนอกเพราะดูเป็นทางการมากกว่าเหมาะสำหรับพาครอบครัวหรือผู้ใหญ่มาทาน พื้นกับผนังร้านเป็นปูนเปลือยสไตล์ลอฟต์ผสมกับดอกไม้นานาชนิดเถาวัลย์เลื้อย-ภาพวาดด้วยมือกับลายกราฟฟิคดูสวยงามทันสมัยตามมุมต่างๆ เฟอร์นิเจอร์เลือกใช้สีขาว-สีดำและสีฟ้าเป็นหลักบุด้วยนวมนุ่มๆทุกตัวพร้อมโซฟายาวมีหมอนอิงสำหรับต่อโต๊ะมานั่งฉลองกับเพื่อนจำนวนมาก โดดเด่นด้วยสัญลักษณ์ตัว "ล" สีเขียวขนาดใหญ่ใจกลางร้านแปลกตาไม่เหมือนใคร หน้าต่างกว้างพิเศษช่วยเปิดรับแสงธรรมชาติผสานโคมไฟภายในร้านโทนสีส้มเพิ่มความอบอุ่นนั่งสบายเปิดแอร์เย็นฉ่ำกับเพลงสากลยุค 90 ให้ฟังเพลินๆรู้สึกดีไปอีกแบบครับ

เริ่มต้นจานแรกด้วยออเดิร์ฟง่ายๆและเป็นของโปรดประจำครอบครัวเราก็คือ "โดนัทกุ้ง" เสิร์ฟ 4 ชิ้นใหญ่แบบนี้ราคาแค่ 99 บาท เป็นเนื้อกุ้งบดละเอียดแน่นเนื้อเด้งหนึบๆหอมกลิ่นสามเกลอทั้งรากผักชี/กระเทียม/พริกไทยเตะจมูกปั้นเป็นก้อนกลมทรงแบนเจาะรูตรงกลางให้คล้ายรูปโดนัทเพื่อให้ทอดง่ายและสุกอย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น ทานกับน้ำจิ้มบ๊วยเจี่ยสูตรเข้มข้นพิเศษของทางร้านรสหวานอมเปรี้ยวช่วยตัดเลี่ยนไขมันได้เป็นอย่างดี จานต่อไปไม่เคยเห็นเสิร์ฟที่ร้านไหนเลยสั่งมาลองก็คือ "ไก่ทอดซอสส้ม" ราคา 109 บาท เนื้อไก่ส่วนสะโพกล้วนไร้กระดูกชิ้นใหญ่พิเศษชุบเกล็ดขนมปังทอดกรอบวางบนใบคะน้าฝอยทอด ราดด้วยซอสส้มหวานอมเปรี้ยวหอมสดชื่นเผลอแปปเดียวหมดจานแล้วเพราะกินเพลินดีมากๆ ปกติเจอเคยแต่เมนูไก่ทอดซอสมะนาวเปลี่ยนเป็นส้มแบบนี้ก็อร่อยไม่แพ้เลยกันครับ

เมนูต่อไปสั่งมาไม่คิดว่าจะเสิร์ฟจานใหญ่ขนาดนี้คือ "กุ้งกระเบื้อง" ราคา 149 บาท ปกติสูตรร้านอื่นจะเอาเนื้อกุ้งสับปรุงรสสอดไส้ระหว่างกลางของเกี๊ยวประกบกันแล้วค่อยลงทอด แต่สูตรร้านนี้เป็นเนื้อกุ้งล้วนไร้แป้งเอามาทำเป็นแผ่นบางราวกับกระเบื้องความหนาประมาณครึ่งเซนติเมตร โรยด้วยงาขาวแล้วก่อนลงกระทะและตัดชิ้นพอดีคำก่อนเสิร์ฟ ตกแต่งด้วยมายองเนสวาดให้เป็นลวดลายสวยงามล้อมรอบทั้งจานด้วยใบคะน้าซอยเป็นเส้นทอดกรอบๆพร้อมทานทันที ในเนื้อกุ้งสับทางร้านได้ปรุงรสชาติมากลมกล่อมผสมกับเครื่องเทศสามเกลอเรียบร้อยแล้ว ได้ความหอมมันงาขาวกับมายองเนสหวานอมเปรี้ยวนิดๆเข้ากันได้เป็นอย่างดี เมนูต่อไปก็ไม่เคยเห็นเสิร์ฟที่ร้านไหนเลยสั่งมาลองก็คือ "ปลาหมึกสอดลาภ" ราคา 159 บาท เป็นลาบหมูผสมเนื้อไก่สับและวุ้นเส้นปรุงรสชาติให้เปรี้ยว/เค็มหอมกลิ่นข้าวคั่วเผ็ดร้อนจัดจ้านสไตล์อีสานแท้ๆ สอดไส้ลงในตัวปลาหมึกก่อนจะนำไปชุบเกล็ดขนมปังทอดจนมีสีเหลืองกรอบเสิร์ฟแบบหั่นครึ่งให้เห็นลาบที่อัดแน่นอยู่ภายใน มาพร้อมซอสพริกศรีราชากับผักสดได้หลากหลายสัมผัสเวลาเคี้ยวทั้งความกรุบกรอบเนียนนุ่มและเหนียวหนึบสู้ฟันนิดๆในคำเดียวกัน เป็นอีกเมนูที่อร่อยแปลกไม่เหมือนใครครับ

สั่งแต่เมนูของทานเล่นชวนเลี่ยนไปหลายจานเลยเปลี่ยนมาเป็นอะไรที่แซ่บซี๊ดกันบ้างเริ่มจาก "ยำผักบุ้งกรอบ" ราคา 129 บาท เป็นผักบุ้งจีนที่ทางร้านคัดมาแต่ก้านกับใบอ่อนๆเอามาชุบแป้งทอดกรอบทานคู่กับน้ำยำรสเปรี้ยว-หวานหอมกลิ่นมะนาวผสมเนื้อหมูสับ/หอมแดง/พริกสด/กุ้งลวกและให้ความหอมไม่เหมือนใครด้วยหอมเจียวลงไปเต็มๆถ้วย สูตรของที่ร้านไม่ใส่กะทิผสมน้ำพริกเผาแบบร้านอื่นจึงมีความสดชื่นทานง่ายๆเข้ากับตัวผักบุ้งทอดกรอบได้เป็นอย่างดี จานต่อไปก็คือ "หอยแมลงภู่ผัดฉ่า" ราคา 139 บาท เป็นหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ไซส์ใหญ่พิเศษเอามาผัดกับเครื่องสมุนไพรผัดฉ่าสไตล์ไทยๆทั้งกระชาย/เมล็ดพริกไทยสด/ใบมะกรูด/ใบกะเพราทอด/มะเขือพวง/มะเขือเปราะ/แครอท/ข้าวโพดอ่อนและถั่วฝักยาวแน่นเต็มจาน ปรุงรสชาติมาเค็มหวานเผ็ดกลมกล่อมฉุนสมุนไพรขึ้นจมูกไว้ทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ อีกเมนูจานหลัก "ปลาช่อนลุยสวน" ตัวใหญ่ขนาดนี้ราคา 300 บาท เป็นปลาช่อนที่ถูกแล่เอาเฉพาะส่วนเนื้อมาหั่นเป็นลูกเต๋าลงทอดพร้อมกับหัวและตัวในน้ำมันร้อนๆสีทองสวยงาม ราดด้วยเครื่องน้ำยำลุยสวนรสชาติเปรี้ยวอมหวานผสมเครื่องสมุนไพรสดลงไปมากมายทั้ง ตะไคร้ซอย/หอมแดงซอย/ขิง/พริกสด/ถั่วพลู/ใบมะกรูด/ผักชีใบเลื่อย/ต้นหอมและเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ตักกินเข้าปากอร่อยแซ่บได้ทันทีโดยไม่ต้องกังวลเรื่องก้าง

เมนูต่อมาเคยสั่งแบบเดลิเวอรี่ไปชิมแล้วติดใจเลยต้องตามมาทานถึงที่ร้านนั่นก็คือ "สปาเก็ตตี้พริกขี้หนูไข่กุ้งใส่กุ้งแม่น้ำทวิน" ราคา 159 บาท เป็นสปาเก็ตตี้ผัดขี้เมาที่หน้าตากับสีสันเหมือนจะจืดแต่รสชาติเผ็ดเค็มหวานจัดจ้านสไตล์ไทยแท้หอมกลิ่นพริกขี้หนูสวน/ใบกะเพราเพิ่มไข่ปลาบินปรุงรสสีส้มเคี้ยวกรุบๆ เสิร์ฟมาพร้อมกับกุ้งแม่น้ำเผาแบบผ่ากลางโชว์เนื้อสีขาวอวบและหัวไขมันสีส้มมาให้พร้อมทาน ส่วนอีกจานก็เป็น "ข้าวผัดมันกุ้งใส่กุ้งทวิน" ราคา 159 บาท เป็นข้าวผัดสไตล์ไทยใส่ไข่กับมันกุ้งแม่น้ำผัดมาแห้งข้าวเรียงเมล็ดสวยงามรสชาติกลมกล่อมทานคู่กับกุ้งแม่น้ำเผาขนาดประมาณ 10 ตัว 1 กิโลกรัมเนื้อสดเด้งสู้ฟันหัวมันนัว ราดน้ำจิ้มซีฟู้ดสูตรของทางร้านรสเปรี้ยว-เค็มอมหวานถึงกระเทียมสดและพริกขี้หนูจี๊ดจ๊าดถึงใจ ถือว่ารักษามาตรฐานความอร่อยมาคงที่ไม่ต่างจากเมื่อก่อนครับ

แฟนผมเป็นมนุษย์ผู้คลั่งกะเพราเห็นเมนูนี้แล้วเลยสั่งมาก็คือ "ข้าวกะเพราปลาหมึก/กุ้งแม่น้ำ" ราคา 189 บาท เป็นข้าวสวยหอมมะลิเสิร์ฟพร้อมผัดกะเพราปลาหมึกกับกุ้งแม่น้ำผ่ากลางตัวที่สีสันดูเหมือนจะจืด แต่รสชาติเค็มอมหวานเผ็ดจัดจ้านถึงเครื่องสไตล์ไทยแท้ได้เป็นอย่างดี ตอนแรกกะว่าข้าวสวยยังไงก็เหลือสรุปคือทานหมดจานเพราะเข้มข้นกว่าที่ตาเห็นมากๆ เมนูต่อไปเป็น "ข้าวผัดปลาทูหนังไก่กรอบ" 99 บาท เป็นข้าวผัดใส่พริก/กระเทียมกับเนื้อปลาทูแกะรสชาติกลมกล่อมข้าวเรียงเมล็ดสวยงามทานคู่กับหนังไก่ทอดกรอบและน้ำจิ้มไก่สไตล์ไทยรสเปรี้ยวหวาน บีบน้ำมะนาวลงไปผสมในข้าวผัดอีกหน่อยก่อนทานช่วยเพิ่มรสชาติกับความหอมสดชื่นเข้ากันได้ดียิ่งขึ้น เมื่อสั่งเมนูทอด/ยำ/ผัดต่างๆแล้วที่ขาดไม่ได้เลยก็คือชามซุปให้ซดร้อนๆอย่าง "แกงส้มชะอมกุ้ง" ราคา 144 บาท เป็นแกงส้มใส่เนื้อปลาป่นน้ำข้นรสเค็มเปรี้ยวอมหวานสไตล์ภาคกลางใส่ไข่เจียวชะอมกับกุ้งสดตัวใหญ่ทานกับข้าวสวย-ข้าวผัดหรือจะซดเปล่าๆก็อร่อยจี๊ดจ๊าดสะใจ ใครไม่ชอบแกงส้มชะอมไข่รสหวานนำแบบร้านอื่นๆที่นี่ตอบโจทย์มากเลยครับ

มาถึงร้านลาภปากแล้วไม่สั่งเครื่องดื่มม๊อกเทลสีสวยๆมาถ่ายรูปเท่ากับว่ายังไม่สุดทาง เริ่มด้วย "บลูพาราไดซ์" ราคา 85 บาท เป็นส้มยูสุเสิร์ฟมาพร้อมกับบลูโอเชี่ยนรสหวานอมเปรี้ยวให้ประกอบร่างด้วยการเทผสมกันก่อนดื่มรสหวานอมเปรี้ยวหอมกลิ่นเปลือกส้มสดชื่นแปลกใหม่แต่ลงตัว เมนูต่อไปชื่อธรรมดาแต่ตอนเสิร์ฟสีสันสวยงามนั่นก็คือ "น้ำผึ้งมะนาวโซดา" ราคา 75 บาท ด้านล่างสุดของแก้วที่เห็นคือน้ำผึ้งล้วนๆเนื้อข้นเหนียวใส่โซดาและน้ำดอกอัญชันพร้อมมะนาวสดอีกซีกให้บีบลงไปก่อนจะผสมทุกอย่างให้เข้ากันก่อนดื่ม รสชาติหวาน-หอมจากน้ำผึ้ง 100% เย็นซ่าโซดาอมเปรี้ยวน้ำมะนาวสะใจดีมากๆ แนะนำคนนานหน่อยไม่งั้นน้ำผึ้งจะจับตัวกันเป็นก้อนเหนียวตรงก้นแก้ว เมนูต่อมาเป็นน้ำสมุนไพรสุดคลาสิคดื่มง่าย "อัญชันมะนาว" ราคา 75 บาท เป็นน้ำสกัดจากดอกอัญชันผสมมะนาวรสเปรี้ยวอมหวานกำลังดีเทลงในน้ำแข็งเกล็ดเคี้ยวกรุบกรอบเย็นทั่วถึงทั้งแก้ว ดื่มง่ายไม่ต้องคนให้เสียเวลาอย่างใด

แก้วต่อไปก็เสิร์ฟมาหน้าตาดูอลังการไม่แพ้กันก็คือ "บลูมมิ่งเดย์" ราคา 85 บาท จุดเด่นของแก้วนี้ทางร้านเอากลีบดอกไม้ไปแช่ในน้ำแข็งและเนื้อสตรอเบอรี่หลากหลายสีสันสวยงาม เสิร์ฟมาพร้อมกับ Rose Lemonade หรือน้ำเชื่อมกลิ่นกุหลาบผสมเลมอนและน้ำสกัดจากดอกอัญชัน วิธีการประกอบร่างก็คือเทน้ำสีเหลืองตามด้วยสีม่วงให้เป็น 2 ชั้นเลเยอร์สวยงามก่อนดื่ม รสชาติหวานอมเปรี้ยวหอมกลิ่นกุหลาบพร้อมกลีบดอกไม้ลอยไปมาอยู่ในแก้วแลดูผู้ดีสุดๆ แก้วสุดท้ายสีพาสเทลสวยงามคือ "เลมอลโรส" ราคา 75 บาท เป็นน้ำเชื่อมกลิ่นกุหลาบผสมเลมอนแบบเดียวกับแก้วที่แล้วแต่เติมสีชมพูและกลิ่นแฝงลงไปเล็กน้อยด้วยไซรัปพีชผสมออกมาคล้ายกับ Cherry Blossum หรือหวานน้ำกลิ่นดอกซากุระตกแต่งด้วยช่อดอกไม้สีชมพูดูเข้ากันได้เป็นอย่างดี หากอยากได้รูปสวยๆแนะนำว่าเอาแก้วไปวางมุมใกล้ต้นไม้-ดอกไม้เบลอหลังหน่อยจะสวยมาก แต่เราไม่อยากรบกวนคนอื่นๆถ่ายรูปที่มุมโต๊ะก็พอครับ

ปิดท้ายด้วยขนมหวานที่เป็น Signature อีกอย่างของทางร้านนั่นก็คือ "ขนมโคน้ำกะทิ" ราคาถ้วยละ 55 บาท เป็นแป้งข้าวเหนียวสีเขียวใบเตยและสีม่วงดอกอัญชัญปั้นเป็นก้อนกลมๆสอดไส้ด้วยมะพร้าวขูดผัดกับน้ำตาลโตนดราดน้ำกะทิสัมผัสเหนียวข้นรสเค็มและโรยงาขาวคั่วหอมๆ ค่อนข้างมีกระบวนการที่จะแตกต่างจากสูตรต้นตำรับอยู่มากพอสมควรแต่โดยรวมแล้วหอมมันหวานตัดเค็มอร่อยลงตัว เสิร์ฟมาในภาชนะแก้วใสสวยงาม-ประดับด้วยกลีบดอกไม้และดูเป็นชาววังดีครับ เมนูต่อมา "ไอครีมมะพร้าวซอสคัสตาร์ตไข่เค็ม" ราคา 85 บาท เป็นไอศครีมมะพร้าวกะทิรสหวานมันเสิร์ฟพร้อมกับท๊อบปิ้งมากมายทั้ง กราโนล่าโอ๊ตผสมผลไม้แห้งอบกรอบ/คุกกี้ครัมเบิ้ลหอมเนย/น้ำกะทิเหนียวข้นรสเค็มอ่อนๆและซอสคัสตาร์ตไข่เค็มหอมมัน เวลาจะทานก็เทเครื่องทุกๆอย่างลงไปในแก้วได้ทั้งความหวานเค็มกรุบกรอบและเย็นสดชื่นแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร ตอนนี้อิ่มแล้วเรียกน้องพนักงานมาคิดเงินกันเลยครับผม

มื้อนี้เรามาด้วยกันถึง 4 คน สั่งอาหารกับเครื่องดื่มไปกว่า 22 รายการ จ่ายไปทั้งหมด 2,603 บาท (ไม่มี Vat. และ Service Charge มาบวกเพิ่ม) ถือว่าราคาดีเมื่อเทียบกับรสชาติ/คุณภาพวัตถุดิบ/การบริการและการตกแต่งภายในร้านที่ได้รับกลับมา พบข้อเสียเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือไม่มีลานจอดรถถ้าหากพาผู้ใหญ่อายุเยอะๆมาด้วยค่อนข้างลำบากเรื่องการเดินทางนิดหน่อย แต่ถ้าคุณเป็นวัยรุ่นหรือวัยทำงานที่ชื่นชอบเมนูอาหารไทยรสแซ่บจัดจ้านถึงใจในบรรยากาศร้านอันสวยงามราวกับคาเฟ่ใจกลางกรุงเทพฯและที่สำคัญคือราคาไม่แพงร้าน "ลาภปาก (Laappaak Dining room)" นี้ถือว่าตอบโจทย์ได้ครบทุกด้าน รับคะแนนความอร่อย-คุ้มไป 5 ดาวเลยครับ 🌟🌟🌟🌟🌟

พิกัด : เลขที่ 518 ถนนพระราม 4 แขวงรองเมือง เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330

เปิดให้บริการทุกวันไม่มีวันหยุดตั้งแต่เวลา 10.30-22.00 น. (อาจมีการปรับเปลี่ยนตามนโยบายของรัฐบาล)

โทร. 02-613-9661

Facebook : www.facebook.com/laappaakdiningroom

อ่านรีวิวแล้วชอบรบกวนช่วยกด Share ให้เพื่อนๆอ่าน

แล้วตามไปกดถูกใจเพจของเราที่นี่ > https://www.facebook.com/FoodAddictsThai/ <

และอย่าลืมกด See First เพื่อที่จะได้ไม่พลาดรีวิวใหม่ๆของเรานะ 😘😘😘



ดู 6,814 ครั้ง0 ความคิดเห็น
bottom of page