ไม่ได้เกากระแสคังคุไบแต่พอรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้จบกระตุ้นให้ความอยากกินอาหารอินเดียเพิ่มยิ่งขึ้นจนต้องค้นหาร้านอร่อยเด็ดแถวคอนโดจนพบกับ "Indian Food Wala" สาขาเจริญนคร16 ซึ่งปัจจุบันเปิดให้บริการนานกว่า 10 ปี มีเพจรีวิวกับนักชิมชื่อเสียงโด่งดังเข้ามาใช้บริการเพียบอีกทั้งยังขายราคาถูกเพราะเริ่มต้นเพียง 60 บาทเท่านั้น สำหรับวิธีการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวให้ปักหมุดบนแผนที่ตรงไปห้าง Sena Fest จอดฟรี 2 ชั่วโมงแรก ชั่วโมงถัดไปคิดราคาชั่วโมงละ 20 บาท ออกจากประตูหลักเลี้ยวซ้ายมุ่งตรงไปซอยเจริญนคร 16 แล้วสังเกตป้ายสีขาว,เขียวเขียนชื่อร้านบนกระจกพร้อมสัญลักษณ์สาวอินเดียยกมือนมัสการหน้าทัชมาฮาลแบบนี้แสดงว่ามาถูกแล้ว ถ้าเดินทางด้วยบริการขนส่งสาธารณะให้ลง BTS สถานีสะพานตากสินแล้วต่อเรือพาข้ามฟากสู่ท่าเรือเป๊ปซี่คิดราคา 3.50 บาท ผ่านสวนป่าเฉลิมพระเกียรติข้ามถนนเจริญนครระยะทางประมาณ 500 เมตรก็จะถึงปลายทางแล้วครับ
บรรยากาศภายในร้านเน้นความธรรมดาดูเรียบง่ายแต่โดดเด่นด้วยสีเขียวโทนสว่างเกือบจะสะท้อนแสงทั้งพื้นที่ซึ่งเป็นเอกลักษณ์สุดๆ แต่ก็ยังมีคนเข้าใจผิดเพราะบริเวณนี้มีอาหารอินเดียเจ้าอื่นเปิดอยู่ไม่ห่างกันมากนักจึงขอเน้นย้ำอีกครั้งว่าต้นตำรับของแท้ต้องสีเขียวพร้อมสัญลักษณ์สาวอินเดียยกมือนมัสการหน้าทัชมาฮาลแบบนี้เท่านั้น โต๊ะและเก้าอี้ทำจากไม้แท้เสริมด้วยโครงเหล็กทาสีดำแข็งแรงนั่งสบายๆกระจายทั่วทั้งร้านสามารถรองรับลูกค้าได้ตั้งแต่ 4-8 คนหรือจะลากโต๊ะมารวมกันก็ได้ก็มีสมาชิกมากกว่านั้น ตกแต่งด้วยโคมไฟสีสันสดใสสไตล์ดินแดนภารตะและรูปถ่ายอาหารอินเดียจานเด็ดเรียงกันยาวทั่วทั้งบริเวณโดดเด่นด้วยใบประกาศนียบัตรใส่กรอบเด่นสะดุดตาสุดๆนั่นก็คือ "เชลล์ชวนชิม" ของหม่อมหลวงภาสันต์ สวัสดิวัตน์กับอีกหนึ่งในนักชิมชื่อเสียงโด่งดังระดับประเทศคุณวิวัฒน์ ศรีเพ็ญหรือพี่ชายกางตระเวนกินทั่วถิ่นไทยและรายการทีวีชื่ออีกดังมากมายช่วยการันตีความอร่อยอีกแรง ส่วนตรงกลางร้านหน้าประตูทางเข้าตั้งซุ้มพระพิฆเนศขนาดย่อมให้บุคคลผู้มากศรัทธาได้แวะรับประทานอาหารพร้อมสักการบูชาเพื่อเสริมสิริมงคลไปในตัว เลือกโต๊ะที่จะนั่งให้เรียบร้อยแล้วมาเปิดดูเล่มเมนูอาหารว่ามีอะไรน่าทานบ้างครับผม
เปิดหน้าแรกเป็นชื่อร้าน,เวลาเปิด-ปิด,เบอร์โทรศัพท์ติดต่อและ QR Code ใช้มือถือสแกนเพื่อเข้า Facebook กับ Line เพื่อจองคิวหรือติดตามโปรโมชั่นใหม่ๆ วันนี้โชคดีเข้ามาเจอ "พี่ตา" ซึ่งเป็นเจ้าของชาวไทยเลยได้สอบถามข้อมูลเยอะมาก โดยต้นตำรับสาขาแรกอยู่หน้าปากซอยเจริญนคร 17 แล้วก็เปิดขยายกิจการเรื่อยๆจนถึง 6 แห่งในปัจจุบัน (เดี๋ยวเรารวบรวมรายชื่อเอาไว้ด้านล่างสุดของรีวิว) อาหารทุกๆจานคุณสามีอดีตเชฟชาวอินเดียจะช่วยปรุงและภรรยาก็ชิมพร้อมปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆให้เข้ากับลิ้นคนไทยมากที่สุด สำหรับเมนูพิเศษขายเฉพาะสาขาเจริญนคร 16 แห่งนี้เท่านั้นคือ "พิซซ่าบางกรอบแบบอิตาลี" แต่แป้งพื้นฐานทำจากนานสูตรอินเดียเพราะมีส่วนผสมคล้ายๆกัน ราคาเริ่มต้นที่ 220-300 หน้าถัดไปเป็นอาหารแนะนำต่างๆของทางร้าน ราคาเริ่มต้นที่ 180-740 บาท / ข้าวหมกตำรับอินเดียแท้ๆอย่างเดียวก็มีให้เลือกมากกว่า 17 อย่าง ราคาเริ่มต้นที่ 110-460 บาท แป้งโรตี,นาน,พาราต้า,จาปาตีเพียงหมวดเดียวก็มีให้สั่งมากกว่า 2 หน้ารวม 24 อย่าง ราคาเริ่มต้นที่ 50-120 บาท นั้นถือว่าไม่แพงเลยครับ
ต่อกันด้วยหมวดอาหารทานเล่นสไตล์อินเดียรวมกว่า 18 เมนู ราคาเริ่มต้นที่ 60-140 บาท สำหรับหมวดแกงเผ็ดทางร้านแบ่งออกเป็นตามประเภทแยกเครื่องต่างๆทั้งเนื้อไก่/เนื้อแพะ/กุ้งแม่น้ำ/เนื้อปลา/หอย/ปู/ปลาหมึก/ชีสปานีร์และผักรวม ปรุงเป็นแกงมาซาล่า/แกงกะหรี่/แกงมาดราส์/แกงวินดาลู/แกงกุรหม่า/แกงผักโขมปั่น/แกงพริกหยวกคะได/ผัดพริกแกงสไตล์อินเดียและแกงบัตเตอร์ ราคาเริ่มต้นที่ 130-280 บาท (ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่เราเลือกใส่ลงไปในแกง) อาหารย่างสไตล์อินเดียทั้งไก่/ดอกกะหล่ำ/เห็ด/ชีส/กุ้งแม่น้ำและซี่โครงแกะรวมกว่า 15 เมนู ราคาเริ่มต้นที่ 190-380 บาท สายมังสวิรัติต้องถูกใจหน้าสุดท้ายเพราะรวมแกงต่างๆทำจากผัก/ถั่วและไข่สไตล์อินเดียกว่า 24 เมนู ราคาเริ่มต้นที่ 130-180 บาทเท่านั้น เนื่องจากพี่ตาเจ้าของร้านเป็นชาวด้ามขวานแดนปักษ์ใต้ของไทยซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านอาหารมลายูเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงนำทักษะเหล่านั้นมาผสมกับศาสตร์แห่งอินเดียในการปรุงอาหารโดยเน้นความเผ็ดร้อนจัดจ้านถึงเครื่องสมุนไพรได้อย่างลงตัวถูกปากคนไทยอย่างแน่นอน ปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มแต่ไม่มีขนมหวานทั้ง Lassi/น้ำผลไม้/สมูทตี้/น้ำอัดลม/โซดา/ชามาซาล่า-อินเดียและมะนาวราคา 10-70 บาท
เรียกน้ำย่อยในกระเพาะอาหารให้ออกมาทำงานอย่างเต็มที่ด้วยสตรีทฟู้ดขายข้างถนนชื่อดังของประเทศอินเดียคือ "Pani Puri" หรือปานิปุรีจานนึงเสิร์ฟ 6 ลูกราคาเพียง 60 บาท ทำจากแผ่นแป้งตากแห้งคล้ายเมนูข้าวเกรียบของประเทศไทยทอดในน้ำมันจนพองกรอบเบาบางเป็นลูกทรงกลม เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่ง-ถั่วลูกไก่ต้มคลุกหัวหอมผัดกับพริกป่นให้ความหอมมัน ส่วนรสชาติความอร่อยเกิดจากน้ำซอสรวมกัน 2 ชนิดก็คือ 1. มะขามเปียกผสมพริกป่นเปรี้ยวหวานเผ็ดปลายลิ้น และ 2. ใบมินต์บดละเอียดหอมสดชื่นเค็มปะแล่มซึ่งสูตรของที่ร้านใส่ข้าวพองโรยด้านบนนิดหน่อย สำหรับวิธีการกินให้ใช้ด้ามช้อนค่อยๆเจาะแป้งทอดทรงกลมให้เป็นโพรงกว้างพอใส่เครื่องผัดพร้อมราดน้ำจิ้มทั้งสองสูตรลงไปแล้วรีบนำเข้าปากทันที จะได้ความแตกระเบิดกระจายตัวของส่วนประกอบกับน้ำซอสชุ่มฉ่ำเต็มคำทั้งเปรี้ยว,หวาน,เค็ม,เผ็ด,กลมกล่อม,หอมมันและกรุบกรอบครบทุกมิติ เมื่อชิมครั้งแรกอาจจะรู้สึกแปลกๆหน่อยเพราะไม่ใช่สัมผัสที่ลิ้นคนไทยคุ้นชินเท่าไหร่นักแต่พอได้ลองคำต่อไปจะทราบว่ามันอร่อยเย็นสดชื่นชวนติดใจ เหมาะสำหรับกินช่วงอากาศร้อนจัดๆอย่างมากจึงได้รับความนิยมในประเทศอินเดียซึ่งแดดแรงเกือบตลอดทั้งปีนั่นเองครับ
เมนูทานเล่นสไตล์สตรีทฟู้ดกินง่ายๆของประเทศอินเดียซึ่งได้รับความนิยมไม่แพ้กันอีกอย่างคือ "Vegetables Samosa" หรือซาโมซ่าไส้ผักเสิร์ฟจานละ 2 ชิ้นใหญ่แบบนี้ราคาเพียง 70 บาท คล้ายๆกับกะหรี่ปั๊บของไทยแต่ไม่มีแป้งชั้นในห่อเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมคล้ายเจดีย์ สอดไส้ด้วยมันฝรั่งต้มผัดกับเครื่องเทศต่างๆและถั่วลันเตาทอดจนมีเหลืองอมน้ำตาลดูกรุบกรอบ ทานคู่กับซอสมินต์สูตรเข้มข้นรสเปรี้ยวหวานเผ็ดจัดจ้านถึงใจหรือจะเป็นน้ำจิ้มมะขามเปียกรสเปรี้ยวหวานละมุนหวานเผ็ดปลายลิ้นเล็กน้อยก็อร่อยเด็ดดวงไม่แพ้กัน จุดเด่นของเมนูซาโมซ่าทอดสูตรร้าน "Indian Food Wala" นั่นคือความฉ่ำของไส้ผักรวมผสมมันฝรั่งโดยเชฟตั้งใจให้มีเปอร์เซ็นต์ความชื้นมากกว่าเจ้าอื่นๆจึงทานง่ายไหลลื่นไม่ฝืดคอจนต้องดื่มน้ำตามจำนวนมากเคล้ากลิ่นหอมของเครื่องเทศสดกับผงแห้งฟุ้งกระจายเต็มในปากเวลาเคี้ยว พอได้ชิมแล้วไม่แปลกใจเลยครับว่าเกือบทุกคนที่แวะมารีวิวต้องลองสั่งมาลองตามกันครับผม
สำหรับใครที่ชอบทานเนื้อสัตว์-ไม่ถนัดเครื่องเทศแต่อยากลองชิมอาหารอินเดียแนะนำให้เริ่มต้นด้วยเมนูเบสิคๆอย่าง "Chicken Tandoori" หรือไก่ย่างทันดูรีเสิร์ฟมา 3 ชิ้นใหญ่ขนาดนี้ราคาเพียง 220 บาท คัดเฉพาะส่วนน่องกับสะโพกลอกหนังออกสาเหตุเพราะพ่อค้าชาวอินเดียไม่ถอนขนไก่แต่จะใช้วิธีการดึงออกทั้งผิวหนังแทน นำมาหมักเครื่องเทศสูตรลับของทางร้านเคล้าโยเกิร์ตจนมีสีแดงสวยงาม ย่างบนเตาถ่านให้สุกฉ่ำกำลังดี,ไม่แห้งชวนฝืดคอจนเกินไปซึ่งแตกต่างจากบางภัตตาคารที่เลือกใช้ส่วนอกลอกหนังเวลากินให้อารมณ์เหมือนกำลังทานอาหารคลีนมากกว่าอินเดีย โดยรวมมีความนุ่มหอมเนยเคล้าเครื่องสมุนไพรกับถ่านเปรี้ยวโยเกิร์ตอ่อนๆกลมกล่อมละมุนลงตัวกำลังดี ถ้ารู้สึกว่าจะเลี่ยนก็มียำหอมแขกสีแดงสดรสเปรี้ยวเผ็ดฉุนขึ้นจมูกเวลาเคี้ยวให้เคียงอยู่ข้างจาน วิธีการทานให้อร่อยยิ่งขึ้นคือการบีบน้ำมะนาวสดลงไปให้ทั่วก่อนหรือสามารถขอซอสมินต์เพิ่มความเผ็ดสดชื่นจี๊ดจ๊าดก็ดีไปอีกแบบครับ
ต่อกันด้วยแกงสไตล์อินเดียต่างๆเริ่มต้นจากชามนี้เหมาะสำหรับคนไม่ชอบกลิ่นเครื่องเทศรุนแรงอย่าง "Palak Paneer" หรือแกงผักโขมใส่ชีสราคา 160 บาท ทางร้านนำผักโขมสดๆมาปั่นด้วยความแรงสูงจนบดละเอียดพร้อมหอมหัวใหญ่/มะเขือเทศและเครื่องสมุนไพรสูตรลับอีกเล็กน้อยเพิ่มชีสอินเดียหรือปานีร์หั่นชิ้นขนาดใหญ่พิเศษลงไปปริมาณแน่นถ้วย ก่อนยกเสิร์ฟโรยด้วยชีสขูดเส้นปะทะกับความร้อนจนละลายเคลือบผิวบนสุดของแกงสีเขียวอย่างสวยงาม รสชาติเค็มมันหวานอมเปรี้ยวติดปลายลิ้นนิดๆพอกลมกล่อมดูมีมิติแตกต่างจากร้านอื่นที่เคยชิมก่อนหน้านี้มากครับ ชามถัดไปตอนแรกกลัวเรื่องกลิ่นมากแต่พี่ตารับประกันว่าไม่มีอย่างแน่นอนเลยสั่งมาลองชิมคือ "Mutton Keema Masala" หรือแกงเผ็ดมาซาล่าใส่เนื้อแพะสับสไตล์อินเดียให้ปริมาณพูนๆถ้วยแบบนี้ราคาเพียง 240 บาท ทำจากเนื้อแพะสับเลาะอย่างดีไม่มีกระดูกชิ้นเล็กติดรอดออกมา (บางร้านไม่ใส่ใจเคี้ยวโดนฟันเกือบแตก) ผัดมะเขือเทศเข้มข้นผสมเครื่องเทศอีกหลายชนิดและผงมาซาล่าให้ความเผ็ดร้อน/รุนแรงจนแทบไม่ได้กลิ่นสาปเฉพาะตัวของเนื้อแพะที่หลายๆคนเกลียด รสชาติเค็มเปรี้ยวกลมกล่อมกินแล้วไม่ค่อยเลี่ยนเหมาะทานคู่กับแป้งนาน-โรตีมากครับ
ชามต่อไปพี่ตาแนะนำว่านักรีวิวชื่อดังหลายคนชอบมากๆแล้วไปทานของร้านอื่นก็ไม่รู้สึกอร่อยเท่าที่นี่อีกเลยนั่นคือ "Butter Chicken" หรือแกงบัตเตอร์อินเดียใส่เนื้อไก่ราคา 170 บาท เนื่องจากเราได้แจ้งทางครัวไปว่าขอเผ็ดระดับสูงสุดบอกเลยว่าได้ดั่งใจสุดๆ มีเนื้อสัมผัสเข้มข้นด้วยผักผ่านความร้อนให้รสหวานตามธรรมชาติปั่นใส่เนยสดโยเกิร์ตพร้อมเครื่องเทศสูตรลับต่างๆผสมลงไปมากมาย สุดท้ายใช้นมสดแทนวิปครีมเพื่อสุขภาพที่ดีของลูกค้าทุกๆคนและเพิ่มโปรตีนด้วยไก่ส่วนอกหั่นชิ้นใหญ่ต้มพอสุกจึงมีความฉ่ำไม่แห้งกระด้างฝืดคอเวลาเคี้ยว รสชาติหวานเค็มกลมกล่อมหอมมันเผ็ดร้อนถึงเครื่องสมุนไพรใกล้เคียงกับประสบการณ์อาหารอินเดียครั้งแรกที่ผมประทับใจไม่รู้ลืม (แต่ร้านนั้นเขาใช้วิปครีมและเคี่ยวเป็นเวลานานจึงเข้มข้นกว่ามาก) ซึ่งปัจจุบันยังจำชื่อภัตตาคารไม่ได้แต่ที่ "Indian Food Wala" ถือว่าใกล้เคียงที่สุดครับ สุดท้ายคือ "Kadai Paneer" หรือแกงพริกหยวกคะไดใส่ปานีร์ราคา 160 บาท ใครที่ชอบกลิ่นเครื่องเทศรุนแรงขั้นสูงสุดห้ามพลาดเพราะเป็นแกงผัดมะเขือเทศบดผสมพริกหยวกเขียวพร้อมสมุนไพรแห้ง-สดสูตรลับอัดแน่นเต็มทั้งชาม ตัดความเค็มหอมมันกลมกล่อมด้วยชีสอินเดียชิ้นใหญ่ทำให้รสชาติโดยรวมคล้ายๆแกงเผ็ดปักษ์ใต้ของไทยแต่นัวด้วยผักผ่านความร้อนแบบเข้มข้นจนอยากได้นาน,โรตีเพิ่มเดี๋ยวนี้เลยครับ
แป้งทุกชนิดภายในร้านเชฟลงปั้นโดว์อบเองในเตาถ่านตั้งแต่เริ่มต้นซึ่งเป็นสูตรอินเดียแท้ๆทั้ง "Garlic Naan" ราคา 55 บาท เสิร์ฟแผ่นใหญ่ทำจากแป้งผสมโยเกิร์ตเนยและนมพร้อมยีสต์หมักในเวลาอันสั้นทำให้สุกแล้วปิดท้ายด้วยกระเทียมสับ/ผักชีซอยกับน้ำมันมะกอกทาด้านบนสุดปิดท้ายก่อนเสิร์ฟ แนะนำว่าให้รีบทานทันทีเพราะค่อนข้างแข็ง-เหนียวเร็วมากเนื่องจากใช้เนยน้อยบวกกับเวลาหมักไม่นานตามแบบฉบับอินเดียแท้ๆซึ่งไม่ได้ปรับปรุงตามแบบคนไทยนิยมเหมือนร้านอื่นๆ วิธีการกินก็คือฉีกด้วยมือให้เป็นแผ่นพอดีคำแล้วจิ้มหรือตักแกงราดลงบนแผ่นแป้งแบบชุ่มฉ่ำช่วยเพิ่มความเหนียวหนึบกลมกล่อมหอมกระเทียมสุดอูมามิคลุ้งเต็มปาก แผ่นต่อไปก็คือ "Chapati" หรือจาปาตีราคา 25 บาท รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนตอติญ่าแต่บางและดูแห้งกว่าทำจากแป้งสาลี,เกลือ,น้ำตามอัตราส่วนย่างให้พอสุกเกรียมนิดๆ เหมาะสำหรับฉีกทานคู่กับแกงรสจัดจ้านถึงเครื่องเทศสมุนไพรเข้มข้นหน่อยจะดีสุดครับผม
แผ่นแป้งต่อไปไม่เคยเห็นแต่พี่ตาบอกว่าแนะนำให้ลองก็คือ "Lachha Paratha" หรือลัชชาพาราต้าราคาแผ่นละ 65 บาท แป้งสาลีไม่ใส่เชื้อหมักพับให้เป็นจีบก่อนแล้วรีดแบนก่อนลงย่างจะได้ชั้นวงกลมๆเรียงกันดูสวยงามเพิ่มความหอมพิเศษด้วยผักชีสับชิ้นเล็กผสมลงไป เนื่องจากมีช่องว่างขนาดเล็กระหว่างตัวแป้งจึงสามารถซึมซับน้ำแกงได้มากขึ้นเหมาะสำหรับทานคู่ซุปสัมผัสเหลวมากที่สุด เนื่องจากเราซึ่งชอบกินแกงกับข้าวสวยมากเลยสั่งมาเพิ่มเป็น "Saffron Rice" หรือข้าวหมกเกสรดอกไม้ราคา 110 บาทเพื่อให้เข้ากับอาหารอินเดียหน่อย หากใครเคยดูสารคดีผ่านๆตาน่าจะทราบว่า "แซฟฟรอนหรือหญ้าฝรั่น" เป็นเครื่องเทศราคาแพงที่สุดในโลกเนื่องจากใน 1 ดอกไม้มีเพียงแค่ 3 เส้นซึ่ง 0.45 กิโลกรัมต้องเก็บ 50,000-75,000 ดอกโดยร้าน "Indian Food Wala" ใช้เกรดนำเข้าของประเทศอิหร่านคุณภาพดีสุดในโลกมาผสมในข้าวบาสมาติหุงนุ่มๆชามนี้ นอกจากสีเหลืองสวยงามจากแซฟฟรอนยังผสมยี่หร่าให้ความหอมเตะจมูกลงไปเป็นเม็ดโดดกินแล้วเข้ากับแกงเครื่องสมุนไพรจัดจ้านได้อีกหลายๆชามเลยครับ
สุดท้ายเราตั้งใจว่าจะสั่งมาดื่มคนละแก้วแต่พี่ตาเอามาให้ชิมก่อนโดยบังคับว่าอย่าเพิ่งถ่ายรูปต้องดื่มใหม่เท่านั้นคือ "Mango Lassi" ราคา 60 บาท ใส่แก้วทรงสูงเสิร์ฟมาใหญ่โตทำจากโยเกิร์ตสดปั่นกับเนื้อมะม่วงน้ำดอกไม้สุกหวานและน้ำแข็งอีกเล็กน้อยสไตล์สมูทตี้ตามคาเฟ่ ไม่ผสมสมุนไพรกลิ่นแปลกแบบร้านอาหารอินเดียอื่นๆจึงดื่มง่ายรสชาติหวานอมเปรี้ยวกำลังดีเกล็ดน้ำแข็งเนียนละเอียดเหมือนซุปข้นเย็นสดชื่นไหลลื่นลงคอ ส่วนอีกแก้วถูกยกตามออกมาให้ถ่ายรูปอีกครั้งนานเท่าไหร่ก็ได้จนกว่าจะพอใจ มื้อนี้ผมมาทานกับแฟน 2 คนสั่งไปทั้งหมด 12 รายการรวม 1,395 บาท (ไม่มี Vat. 7% และ Service Charge อีก 10% มากวนใจ) แถมพี่ตายังลดค่า Lassi อีกแก้วเป็นการขอบคุณที่เราแวะเข้ามารีวิวด้วย โดยรวมอร่อย,รสชาติจัดจ้านทุกจานแถมราคาไม่แพงพร้อมใช้วัตถุดิบคุณภาพดีสมกับราคาที่จ่ายไป สมกับรางวัลการันตีจาก "เชลล์ชวนชิม" ซึ่งในบรรดาร้านอาหารอินเดียในประเทศไทยทั้งหมดมีแค่เพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ได้ใบประกาศนียบัตรนี้มาครอบครอง ได้รับคะแนนไปเลย 5 ดาวเต็มครับ 🌟🌟🌟🌟🌟
พิกัด : ปากซอยเจริญนคร 16 เลขที่ 516-518 ถนนเจริญนคร แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน กทม. 10600
เปิดให้บริการทุกวันไม่มีวันหยุดตั้งแต่เวลา 10.30 - 23.00 น. (อาจมีการปรับเปลี่ยนตามนโยบายของรัฐบาล)
โทร. 094-923-1110
นอกจากนี้ร้าน Indian Food Wala ยังเปิดให้บริการอีกรวมกว่า 6 สาขาทั่วทั้งกรุงเทพมหานครได้แก่
>> เจริญนคร 16 / เจริญนคร 17 / สวนพลู 8 / เพชรเกษม 15 / งามวงศ์วาน 22 และบางกะปิ <<
ใกล้ที่ไหนเข้าไปลองได้เลยเพราะควบคุมสูตร,รักษามาตรฐานพร้อมปรุงรสชาติออกมาเหมือนกันครับ
อ่านรีวิวแล้วชอบรบกวนช่วยกด Share อวดเพื่อนๆของคุณ
แล้วตามไปกดถูกใจเพจของเราที่นี่ > https://www.facebook.com/FoodAddictsThai/ <
และอย่าลืมกด See First เพื่อที่จะได้ไม่พลาดรีวิวใหม่ๆของเรานะ 😘😘😘
Comentários