วันนี้ได้รับการรับเชิญจาก PR ของโรงแรม Pullman King Power รางน้ำ ให้เข้ามารีวิวบุฟเฟ่ต์อาหารมื้อเย็นที่ห้องอาหาร Cuisine Unplugged ที่อยู่บริเวณชั้น 1 ของโรงแรม ส่วนตัวเคยมาทานที่ห้องอาหารนี้แล้วตั้งแต่สมัยขายดีลใน Ensogo เมื่อหลายปีก่อนถือว่าค่อนข้างประทับใจทั้งอาหารและสถานที่ที่สวยงาม ไม่ได้มาหลายปีเข้าใจว่าตอนนี้น่าจะมีการปรับเปลี่ยนไปมากกว่าเดิม จะมีอะไรให้ทานบ้างนั้นเราเข้าไปดูในห้องอาหารกันเลยครับ
โดยห้องอาหารของทางโรงแรมก็หาไม่ยาก เมื่อเดินเข้ามาที่ประตูใหญ่ตรงกลาง ก็เดินตรงเข้ามาจนสุดทางแล้วเลี้ยวซ้ายก็จะพบกับห้องอาหารแล้วครับ โดยบุฟเฟ่ต์ที่เราจะมาทานกันวันนี้มีชื่อว่า Grand Ocean Seafood & BBQ Dinner Buffet เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 18.00 น. ถึง 22:30 น. (นั่งทานได้ยาวนานถึง 4 ชั่วโมงเต็ม) จ่ายคนละ 1,599 บาท Net. ราคานี้มีเครื่องดื่มเป็นชากาแฟ (กดได้ไม่อั้น)และน้ำเปล่าเพียง 1 ขวดเท่านั้น ฟังดูเหมือนแพง แต่ก็มีโปรโมชั่นพิเศษคือ เพียงสำรองที่นั่งผ่านเว็บไซต์ของทางโรงแรม https://bit.ly/2xWw3LJ
มีส่วนลดให้ถึง 50 % เหลือเพียงคนละ 800 บาท โปรโมชั่นมีถึงแค่วันที่ 31 ตุลาคม 2562 นี้ ถ้าหลังจากวันนี้จะลดแค่เพียง 30% หรือเหลือคนละ 1,119 บาท มองจากป้ายโปรโมชั่นหน้าห้องอาหารแล้วเหมือนเป็นการรวบรวมวัตถุดิบจากสถานที่ต่างๆ ที่คุณภาพดีสุดทั่วโลกมารวมไว้ในห้องอาหารนี้ ก่อนอื่นเราเข้าไปหาที่นั่งกันก่อนเลยครับ
บรรยากาศการตกแต่งภายในห้องอาหารมีการเปลี่ยนแปลง เมื่อหลายปีก่อนจำได้ว่าใช้โทนสีส้ม/สีแดงในการประดับตกแต่งห้องอาหารนี้ แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นโทนสีเขียวเข้มตัดกับสีดำและหินอ่อนสีขาว ทำให้ดูหรูหรามากขึ้น เมื่อเรานั่งที่โต๊ะพนักงานก็จะนำน้ำเปล่ามาเสิร์ฟให้ 1 ขวด และตอนนี้เราก็พร้อมที่จะไปสำรวจไลน์อาหารกันแล้วครับ แต่ก่อนเข้ามาที่ห้องอาหารเห็นสวนตรงกลางของโรงแรมสวยมาก เป็นการจัดสวนแบบญี่ปุ่น สอบถามทาง PR ได้ความว่าตรงกลางนั้นเป็นภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นแบบ Omakase ของโรงแรม (ไว้มีโอกาสจะมารีวิวให้ชมนะครับ)
เริ่มสำรวจจากจุดแรกเป็นมุมไฮไลท์ของที่นี่คือ Seafood On Ice ที่รวบรวมอาหารทะเลจากทั่วทุกมุมโลกมาไว้ตรงนี้ มีให้เลือกหลากหลายตั้งแต่หอยนางรมแปซิฟิกจากประเทศเกาหลี/หอยนางรมสุราษฎร์ธานีตัวใหญ่/หอยนางรมฟิน-เดอ-แคลร์จากฝรั่งเศส/ปูอลาสก้า/กั้งกระดาน/กุ้งแดง/ปูม้า/หอยหวานและหอยแมลงภู่จากนิวซีแลนด์ เสิร์ฟวางมาบนน้ำแข็งแบบอัดแน่น พร้อมน้ำจิ้มซีฟู๊ดและเครื่องทานกับหอยนางรมแบบครบสำรับ ตักไปไว้ที่โต๊ะเลย
ถัดมาจะเป็นโซนสลัดทำเอง ที่มีทั้งผักเป็นใบและเครื่องปรุงสลัดต่างๆ พร้อมกับน้ำสลัดอีก 6 ชนิดให้ปรุงใส่ชามสแตนเลสได้แบบตามใจ ต่อมาจะเป็นโซนอาหารไทยวันนี้มีเป็นแกงเขียวหวานไก่เสิร์ฟมาพร้อมกับเส้นขนมจีนและผักสด เต้าเจี้ยวหลนใส่ปูเสิร์ฟพร้อมกับไข่ต้มและผักสด และไส้อั่วที่ย่างกันแบบร้อนๆเสิร์ฟกันไม้ต่อไม้ รสชาติอาหารไทยที่นี่ถือว่าทำมาได้รสชาติค่อนข้างดี ความเผ็ดร้อนอยู่ในระดับปานกลาง ทานได้ง่ายๆทุกเพศทุกวัยครับผม
โซนต่อมาจะเป็น Cold Cut เสิร์ฟเป็นแฮมและซาลามี่ 4 ชนิดทานกับผักดองและซอสไตล์ฝรั่งอีก 8 ชนิด ข้างๆกันเป็นผลไม้สดตามฤดูกาล มีให้เลือกทั้งลำไย/แอปเปิ้ล/เงาะ/เสาวรส/แคนตาลูป/สับปะรด/แตงโม/ส้มโอ โซนนี้น่าจะถูกใจชาวต่างชาติที่ชื่นชอบผลไม้ไทยเป็นพิเศษ ติดๆกันเป็นขนมปังชนิดต่างๆ จะเอาไว้ทานกับเนยหรือทานคู่กับกับซาลามี่ที่มีให้เลือกหลากหลายชนิด (มาแบบเป็นเนื้อทั้งชิ้นเรียงกันสวยงาม) และสามารถสั่งพนักงานให้สไลด์เสิร์ฟเราได้ครับ มุมสุดท้ายจะเป็นชีสต่างๆถึง 4 ชนิด พร้อมขนมปังกรอบ/เครื่องเคียงต่างๆไว้ทานคู่กันครับ
โซนต่อมาเป็นอาหารญี่ปุ่นและสลัดพร้อมทาน มีให้เลือกทั้งยำแมงกะพรุนน้ำมันงา/สลัดกุ้งทอดสไตล์จีน/สลัดหมึกทาโกะสไตล์ญี่ปุ่น/สลัดปลาแซลมอนรมควันสไตล์ฝรั่ง และตู้แช่เย็นขนาดยาวที่กินพื้นที่ตรงนี้ทั้งโซน มีให้เลือกทานทั้งซาชิมิต่างๆ (ปลาแซลมอน/ปลาทูน่า/หมึกทาโกะ/ปลาซาบะดอง/ปูอัด) ซูชิหน้าต่างๆ (ทั้งแคลิฟอร์เนียมากิ/ข้าวห่อสาหร่าย/ซูชิหน้าปลาแซลมอน/ซูชิหน้าปูอัด/ซูชิหน้ากุ้งต้ม/ซูชิหน้าไข่หวาน) มาพร้อมกับเครื่องเคียงต่างๆทั้งยำสาหร่าย/โชยุ/วาซาบิ/ขิงดอง/ไชเท้า+แครอทหั่นเส้น และใครที่ชื่นชอบการทานแซลมอนรมควัน ในตู้นี้ก็มีให้ตักทานไม่อั้นเช่นเดียวกัน สำหรับใครที่เป็นสาวกปลาแซลมอน รับรองไม่ผิดหวังกับคุณภาพของปลาอย่างแน่นอนครับ
ส่วนอาหารจีนของที่นี่ มีให้เลือกเพียงแค่ 2 เมนูนั่นก็คือ เส้นหมี่กรอบราดหน้าไก่สไตล์จีน รสชาติกลมกล่อม ปรุงให้สดชามต่อชาม และทีเด็ดอีกอย่างหนึ่งของห้องอาหารนี้นั่นก็คือหมูหัน เป็นลูกหมูตัวเล็กนำไปย่างจนหนังกรอบแห้ง ก่อนเสิร์ฟเชฟจะทำการเลาะเอาแต่หนังและหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ ทานคู่กับซีอิ๊วดำหวานและหมั่นโถวนึ่งร้อนๆ บอกเลยว่าหนังหมูที่นี่กรอบกร๊วบสะใจสุดๆ จานเดียวไม่พอขอ 10 จานเลยอร่อยมาก เมื่อตัวนี้หมดเชฟก็จะไปหยิบหมูหันตัวใหม่จากห้องครัวมาเสิร์ฟให้เรื่อยๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะทิ้งไว้ด้านนอกหลายๆตัวจนหนังเหนียวไม่อร่อย
โซนต่อมาจะเป็นบาร์บีคิวย่าง ที่มีน้ำจิ้มให้เลือกหลากหลายทั้งน้ำจิ้มไก่/น้ำจิ้มซีฟู้ด/น้ำจิ้มแจ่ว/น้ำจิ้มบาร์บีคิว/ซอสมะเขือเทศและมัสตาร์ด ส่วนเนื้อบาร์บีคิวที่จะให้เชฟนำไปย่างให้ด้านนอกมีให้เลือกทั้งหมด 3 อย่าง นั่นก็คือปลาหมึกสด/ปลาหิมะอลาสก้าและเนื้อวากิว ทำการหยิบตักใส่จานพร้อมกับเลขเบอร์โต๊ะ ยื่นให้กับเชฟก็จะทำการย่างให้บริเวณด้านนอกห้องอาหาร(ตรงบริเวณสวนญี่ปุ่นเมื่อกี้นั่นแหละ) เมื่อย่างเสร็จแล้วจะนำไปเสิร์ฟให้ที่โต๊ะครับ
เดินกลับเข้ามาด้านใน แล้วเดินเข้าไปขวามือในมุมที่อยู่ลึกที่สุดของห้องอาหาร ก็จะพบกับโซนพิซซ่าอบใหม่ ที่มีเชฟคอยปั้นแป้งและตกแต่งหน้าพิซซ่า นำเข้าอบในเตาถ่านขนาดใหญ่ เสิร์ฟร้อนๆถาดต่อถาด (เมื่อหมดก็จะอบใหม่อยู่เรื่อยๆ) นอกจากพิซซ่าร้อนๆชีสเต็มๆแล้ว ยังมีเตาย่างเคบับไก่ พร้อมกับแป้งขนมปังและเครื่องต่างๆที่สอดไส้เคบับได้อย่างตามใจ ใครที่เคยไปกินเคบับร้านด้านนอก ราคาต่อชิ้นค่อนข้างแพง มาทานที่นี่ได้เลย ตักได้ไม่อั้นครับ
โซนเล็กๆข้างๆกัน ถ้ามองผ่านๆนึกว่าไม่มีอะไร แต่มันคือโซนก๋วยเตี๋ยวเรือ ที่เราสามารถสั่งได้ว่าจะทานเป็นก๋วยเตี๋ยวเนื้อวากิวหรือก๋วยเตี๋ยวหมูคุโรบุตะ เลือกเส้นต่างๆได้ตามใจ วันนี้ผมสั่งเป็นเส้นเล็กเนื้อวากิวใส่ไข่ออนเซ็น เป็นก๋วยเตี๋ยวเรือที่เบสตัวน้ำซุปใสๆ เส้นเหนียวนุ่มความนุ่มของเนื้ออยู่ในระดับปานกลาง ความรู้สึกว่าถ้าน้ำซุปเข้มข้นกว่านี้อีกนิดน่าจะทานคู่กับไข่ออนเซ็นได้อร่อยกว่านี้ แต่ถ้าใครชอบรสชาติที่กลมกล่อมก็ถือว่าทำได้ดีเลยทีเดียว
โซนต่อไปจะเป็นอาหารปรุงร้อน เริ่มจากเมนูแรกเป็นซุป 2 ชนิด ได้แก่ซุปกระเพาะปลาที่ใส่กระเพาะปลามาชิ้นโตเคี้ยวเต็มปากเต็มคำ ข้างๆกันเป็นซุปเห็ดทรัฟเฟิลแบบใส่ครีม รสชาติเข้มข้นหอมกลิ่นเห็ดทรัฟเฟิลเข้มข้นแบบตีขึ้นจมูก ถือว่าทำมาได้ดีเลยครับ (แต่ส่วนตัวแล้วยังไงร้าน Copper คือที่หนึ่งนะ ที่นั่นรสกลมกล่อมลงตัวมากกว่า)
ข้างๆกันเป็นอาหารนานาชาติแบบปรุงร้อนพร้อมทาน เริ่มจากเมนู Aloo Masala หรือแกงมาซาลาอินเดียใส่มันฝรั่ง ผัดผักโขมกับพริกและกระเทียม มันฝรั่งบดกับเห็ดทรัฟเฟิล และข้าวสวยร้อนๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นมุมอาหารมังสวิรัติสำหรับชาวต่างชาติมากกว่า (ได้รับความนิยมไม่ใช่น้อยนะครับ) แต่เราสายเนื้อสัตว์ ขอข้ามไปเลยแล้วกัน
เดินมาอีกหน่อยจะเป็นกุ้งแม่น้ำเผาที่เราสามารถเดินมาหยิบได้เรื่อยๆ โดยทางโรงแรมจะเสิร์ฟไว้ให้จานละ 2 ตัว และรีซอทโต้เป็นข้าวเม็ดใหญ่สไตล์อิตาเลี่ยน ผัดกับชีสและครีมแบบถึงใจ ปรุงรสให้เค็ม/มัน ทานคู่กับมะเขือเทศอบแห้งตัดรสเปรี้ยวหวานอีกนิด ดูแล้วหน้าตาไม่จะน่าอร่อย แต่บอกเลยว่าถ้าไม่ได้ทานเมนูนี้ จะพลาดมากครับ
เดินถัดมาใกล้ๆกันจะเป็นโซนอาหารร้อนแบบนานาชาติที่ไม่ใช่เมนูมังสวิรัติ เริ่มจากเป็ดย่างราดด้วยซอสแอปเปิ้ล/พาสต้าเส้นดำผัดกับปลาหมึกสไตล์ Olio (หรือผัดน้ำมันมะกอกพริกแห้งนั่นเอง) ซีฟู้ดผัดเครื่องสมุนไพร (ที่ดูแล้วก็คือซีฟู้ดรวมผัดฉ่าที่ไม่ใส่พริกไทยอ่อนนั้นเอง) แกงเผ็ดกระดูกหมูตุ๋นสไตล์ไทย (ใช้พริกแกงเผ็ดแดง) เป็นรสชาติที่ไม่ค่อยเผ็ด ทานได้ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ (เพราะประมาณ 80% ของที่ห้องอาหารนี้เป็นชาวต่างชาติ)
โซนต่อมาจะเรียกว่าเป็นโซนหอยได้ไหม? เพราะมีวางแค่ 2 เมนูนั่นก็คือหอยตลับผัดพริกเผา กับหอยหลอดนึ่ง ใครที่เป็นสายพาสต้าปรุงสด เห็นว่ามีชีสก้อนใหญ่วางอยู่ด้วย สอบถามกับทางเชฟได้ความว่า ที่นี่มีพาสต้าตามสั่ง แต่ไม่รู้ว่าป้ายเมนูอยู่ตรงไหนหาไม่เจอ และไม่แน่ใจว่ามีซอสอะไรบ้าง ยังไงสอบถามตรงกับทางห้องอาหารดูนะครับ
มีอยู่มุมหนึ่งที่ค่อนข้างน่าตื่นตาตื่นใจ นั่นก็คือสเต็กชิ้นใหญ่แบบตัดแบ่ง ก็มีทุกโรงแรมนี่นา โรงแรมอื่นๆอาจจะมีให้เลือกแค่ 1-2 เมนู ที่นี่มีให้เลือกทั้งหมด 3 อย่าง แต่ละอย่างก็ไม่ธรรมดาทั้งนั้น เริ่มจากอย่างแรกสเต็กพอร์ค ช็อปแบบทั้งชิ้น มาเป็นแผงซี่โครงใหญ่/สเต็กซี่โครงแกะและสเต็กเนื้อโทมาฮอก ที่พอเราสั่งปุ๊บเชฟจะทำการแล่ให้เราสดใหม่ ใครอยากทานเนื้อโทมาฮอว์คในราคาสุดคุ้ม มาที่นี่เลยครับตักทานได้ไม่อั้น สำหรับสายเนื้อย่างผมรู้สึกเลยว่าเมนูนี้ค่อนข้างคุ้มค่ามากเลยทีเดียว เพราะปกติชิ้นนี้ในภัตตาคารไม่ต่ำกว่าชิ้นละ 2-3 พันบาทอย่างแน่นอน
เมื่อสำรวจไลน์อาหารทุกอย่างครบแล้ว ก็ได้เวลาลุยกับอาหารเมนูต่างๆที่เราตักมา เริ่มจากหอยนางรมมีให้เลือกทั้งหมด 3 แบบแต่ที่ประทับใจที่สุดคือหอยนางรมจากสุราษฎร์ธานีประเทศไทยบ้านเรานี่เอง จากการสอบถาม PR เกือบทุกโรงแรมจะบอกว่าไม่กล้านำหอยชนิดนี้มาลงในรายการบุฟเฟ่ต์สักเท่าไหร่ เพราะราคาต้นทุนค่อนข้างสูงกว่าหอยนางรมชนิดอื่น แต่ที่นี่มีมาเสิร์ฟให้ ขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือแถมยังทานได้ไม่อั้นอีกต่างหาก ใครที่เป็นสายหอยนางรมตัวจริงแนะนำบุฟเฟ่ต์ที่นี่เลยครับสุดยอดจริงๆ ส่วนสเต็กชิ้นใหญ่เมื่อกี้ เราก็ตัดมาแบ่งมาทานอย่างละนิดหน่อย ทั้งเนื้อหมู/เนื้อวัวและซี่โครงแกะ เนื้อนุ่มบอกเลยว่าคุณภาพสูง มีกลิ่นวัว/กลิ่นแกะนิดหน่อย แต่ถือว่าอยู่ในระดับที่รับได้ครับ กุ้งแม่น้ำก็ถือว่าย่างมาสดใหม่เนื้อแน่นมันเต็มหัว แต่ให้แค่ครั้งละ 2 ตัว อาจจะต้องเดินกันเมื่อยสักหน่อย ส่วนรีซอตโต้และซุปเห็ดทรัฟเฟิลของที่นี่ถือว่าทำมาได้รสชาติดี ทานไปอย่างละหลายจานอยู่เหมือนกัน
กินกันจนเกือบอิ่ม ก็มาต่อกันด้วยโซนสุดท้ายนั่นคือเครื่องดื่มและขนมหวาน อย่างที่บอกไปตอนแรกแล้วว่าชา/กาแฟของที่นี่สามารถกดเติมได้ไม่อั้น ที่สำคัญเป็นเครื่องชงกาแฟแบบอัตโนมัติกดเพียง 1 ปุ่มก็ได้ทานกาแฟเมนูต่างๆได้ดั่งใจ ถัดมาข้างๆกันก็จะเป็นขนมหวานต่างๆเริ่มจากเค้กและทาร์ตต่างๆ ถูกแช่เอาไว้ในตู้เย็นแบบเปิดของทางโรงแรม ทำให้คงความอร่อยของตัวแป้งและครีมเอาไว้ได้เป็นอย่างดี อันนี้ต้องขอชื่นชมในความใส่ใจของโรงแรมเพราะบางที่นั้นวางไว้เฉยๆ ไม่ได้แช่ตู้เย็นทำให้คุณภาพของหวานนั้นลดลง อันนี้เดินมาทานกี่รอบก็ยังอร่อยครับผม
ขนมหวานอย่างสุดท้ายเป็นถั่วเคลือบช็อกโกแลต ข้าวพองเคลือบช็อกโกแลต คุกกี้ต่างๆ ฟองดูช็อกโกแลตที่สามารถเลือกผลไม้และเครื่องต่างๆ หยิบเสียบไม้ได้ตามใจ ข้างๆกันมีแพนเค้กแบบหนา สั่งกับเชฟขนมหวานตรงนี้ได้ และไอศครีมรสชาติต่างๆทั้งช็อคโกแลต/โยเกิร์ตและไอศกรีมเสาวรส จุดเด่นของมุมนี้ก็คือสามารถนำเครื่องที่อยู่กระจัดกระจายด้วยกันมาผสมกันได้เอง อย่างเช่นอาจจะทำแพนเค้กร้อนๆมาทานคู่กับไอศครีมและโรยด้วยท๊อปปิ้งถั่วเคลือบช็อกโกแลต หรือราดซอสช็อกโกแลตฟองดูร้อนๆลงบนไอศครีมก็ยังทำได้ สนุกกับของหวานในรูปแบบของตัวเองได้เลยครับ สรุปจุดเด่นของห้องอาหาร Cuisine Unplugged โรงแรม Pullman King Power ที่เห็นได้ชัดนั่นก็คือ การเลือกใช้วัสดุราคาแพงและมีคุณภาพสูงกว่าที่อื่น พูดง่ายๆว่าห้องอาหารส่วนใหญ่ไม่ใจเด็ดพอที่จะนำวัตถุดิบราคาแพงหลายๆอย่างมาเสิร์ฟเหมือนกับที่ห้องอาหารนี้ ใครที่ชอบความคุ้มค่าคุ้มราคาและอยากลิ้มรสวัตถุดิบราคาแพงแนะนำที่นี่เลย (แต่รสชาติอาหารการปรุงรสเมนูต่างๆอยู่ในระดับปานกลางนะครับ) สำหรับความอร่อยและความคุ้มค่าและยิ่งมีโปรโมชั่นลด 50% ด้วยอย่างนี้เอาคะแนนไปเลย 5 ดาวเต็มจ้า 🌟🌟🌟🌟🌟
พิกัด : เลขที่ 8/2 ถนนรางน้ำ แขวงพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400
บุฟเฟ่ต์มื้อเย็นเปิดให้บริการทุกวันเวลา 18.00 - 22.30 น. โทร. 02-680-9999
จองออนไลน์ก่อนเข้าใช้บริการเพื่อรับส่วนลดที่นี่ https://bit.ly/2xWw3LJ
อ่านรีวิวแล้วชอบรบกวนช่วยกด Share ให้เพื่อนๆอ่าน
แล้วตามไปกดถูกใจเพจของเราที่นี่ > https://www.facebook.com/FoodAddictsThai/ <
และอย่าลืมกด See First เพื่อที่จะได้ไม่พลาดรีวิวใหม่ๆของเรานะ 😘😘😘
Comments