วันนี้เราได้รับเชิญจาก PR ของโรงแรมอลอฟท์กรุงเทพฯ สุขุมวิทซอย 11 ให้มารีวิวเทศกาลบุฟเฟ่ต์ซีฟู้ด ของห้องอาหาร Crave Wine Bar And Restaurant ที่ตั้งอยู่บริเวณชั้น 8 ของโรงแรม โดยจะจัดบุฟเฟ่ต์ทุกวันศุกร์และเสาร์ของทุกสัปดาห์ เริ่มเวลา 18.00 น. ถึง 22.00 น.มีโปรโมชั่นพิเศษคือ ปกติบุฟเฟ่ต์ราคาท่านละ 999 ฿ Net. เพียงจองผ่านลิงค์นี้ก่อนเข้าใช้บริการ> https://bit.ly/2moVUq1 <และใส่โค้ดส่วนลด " FoodAddict " ก็ลดเหลือเพียงท่านละ 750 บาท Net. เท่านั้น ราคานี้รวมเครื่องดื่มแล้ว แต่เป็นน้ำเปล่า ชา/กาแฟร้อน ไม่รวมน้ำอัดลมและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ถ้าอยากทานก็สามารถสั่งเพิ่มได้ (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม) วิธีการเดินทางมาก็ง่ายๆ ลงสถานีรถไฟฟ้า BTS นานา ลงทางออกที่ 3 จะมีรถตุ๊กๆของโรงแรมรับส่งฟรีทุกๆ 1 ชั่วโมง หรือจะเข้ามาด้วยวินมอเตอร์ไซค์/แท็กซี่ก็ได้เช่นเดียวกัน ส่วนอาหารในไลน์บุฟเฟ่ของที่นี่จะมีอะไรบ้าง ? เราขึ้นลิฟต์ไปดูด้วยกันเลยครับ
โดยสามารถขึ้นลิฟท์จากด้านหน้าโรงแรมขึ้นมาที่ชั้น 8 เลย (หรือจะขึ้นที่ล๊อบบี้ก็มาโผล่ที่เดียวกันนะ) เมื่อมาถึงแล้วก็จะพบกับห้องอาหาร Crave บรรยากาศภายในห้องอาหารก็จะเป็นแบบไม่ได้เป็นทางการมากนัก (แบบห้องอาหารโรงแรมอื่นๆ) เหมือนกำลังนั่งอยู่ในร้านนั่งดื่มสีสันตกแต่งสวยงาม ซึ่งทาง PR บอกว่า นี่เป็น Concept ของห้องอาหารนี้อยู่แล้วที่อยากจะทำให้ลูกค้ารู้สึกสนุกเมื่อได้ทานอาหาร ได้ความสุขทางตาแล้ว ก็ต้องได้ความสุขทางลิ้นด้วย เดี๋ยวเรามาไล่ดูอาหารต่างๆเลยละกันว่าจะมีให้เลือกเยอะและน่ากินสักแค่ไหน ? สมราคาที่จ่ายไปหรือไม่ ?
เดินเข้ามาในห้องอาหารก็จะพบกับโซนแรก เป็นสลัดผัก ที่มีผักสดต่างๆให้เลือกพร้อมกับเครื่องเคียงที่หลากหลายและน้ำสลัดอีก 4 ชนิด เครื่องปรุงสลัดที่นี่ก็มีให้เลือกอยู่ไม่น้อยเลย (ถึงแม้ว่าจะใส่ภาชนะไว้อย่างเล็กๆน้อยๆก็เถอะ) แต่ส่วนใหญ่คนก็ไม่ค่อยจะสนใจโซนสลัดเป็นปกติอยู่แล้ว เข้ามาดูที่สลัดสำเร็จรูปพร้อมทานกันดีกว่า โดยวันนี้มีทั้งหมด 4 เมนูคือลาบหมู/ยำปูอัด/ยำแซลมอนใส่เมล็ดวอลนัทและยำซีฟู้ดที่ใส่กุ้งเนื้อเด้ง/ปลาหมึกให้เยอะสะใจ ที่สำคัญรสชาตินั้นแซ่บถึงเครื่องใช่ย่อย ใครที่ชื่นชอบการทานยำรสแซ่บ ที่นี่ถือว่ารสชาติใช้ได้เลยทีเดียวครับ
ตามมาด้วยโซนที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของที่ห้องอาหารนี้คือ Seafood on ice มีให้เลือกทานตั้งแต่หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์/หอยนางรมแปซิฟิกและปูม้านึ่ง แต่ก็ไม่ได้มีให้ทานแค่นี้ยังมี Fresh Seafood On The Grill อันนี้สิถึงจะเรียกว่าอลังการจริงมีให้เลือกทานหลากหลายทั้งกุ้งแม่น้ำตัวโตหัวมันเยิ้ม/กุ้งขาวตัวใหญ่/กุ้งลายเสือตัวใหญ่เนื้อเด้งสู้ฟัน (อันนี้ตื่นเต้นมากเพราะว่าปกติขายกัน 1 กก.ราคาค่อนข้างสูงอยู่เหมือนกันแต่ที่นี่นำมาจัดบุฟเฟ่ต์) กั้งกระดานสดๆเนื้อสีขาวเห็นมันที่หัวสีเหลืองทอง/ปลาซาบะหนังสีเงินมันวาว/หอยหวาน/ปลากระพงเนื้อสีชมพูและปลาแซลมอนชิ้นใหญ่ จะทานอะไรก็หยิบใส่จานพร้อมกับนำคลิปหนีบที่โต๊ะยื่นให้กับเชฟ เพื่อย่างสดๆให้เราได้เลย ส่วนน้ำจิ้มที่นี่ มีให้เลือกทั้งน้ำจิ้มซีฟู้ด (แนะนำว่าน้ำจิ้มซีฟู้ดสีแดงอร่อยกว่าน้ำจิ้มซีฟู้ดสีเขียว) น้ำจิ้มแจ่ว/น้ำจิ้มบาร์บีคิว มัสตาร์ด/ซอสมะเขือเทศ/น้ำพริกเผา/หอมเจียว/เลมอนและน้ำส้มสายชูผสมกับหอมแดงสไตล์ฝรั่ง อยากทานแบบไหนก็เลือกหยิบได้เลยครับ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเชฟจะย่างไม่ทันใจ เพราะมีเตาย่างและเตาอบแยกกันไว้ต่างหาก ส่วนเนื้อปลารับรองว่าจะได้ทานแบบหนังกรอบอร่อย เพราะเขามีกระทะสำหรับย่างปลาโดยเฉพาะ ดีงามมากครับ
เดินถัดมาอีกหน่อยจะเป็นโซนพิซซ่าอบร้อน ซึ่งเชฟจะขอยืนอยู่ตรงนี้และคอยทำให้ใหม่เรื่อยๆสดๆถาดต่อถาด โดยหน้าพื้นฐานสำคัญที่ห้องอาหารจัดเสิร์ฟในไลน์บุฟเฟ่ต์นี้คือพิซซ่ามาการิต้า (แป้งพิซซ่าบางกรอบ ราดด้วยซอสมะเขือเทศปรงรสแบบอิตาเลียน ราดด้วยชีส แต่งหน้าด้วยมะเขือเทศสดชิ้นใหญ่) ใส่ชีสให้เยอะแน่นสะใจ อบในเตาเดียวกับที่อบซีฟู้ดเมื่อกี้ ออกมาเป็นพิซซ่ามาการิต้าแป้งบางกรอบ ชีสเยิ้ม ที่เมื่อหมดแล้วก็จะทำการอบให้ใหม่อยู่เรื่อยๆ และบางทีอาจจะมีพิซซ่าเมนูพิเศษเวียนออกมา โดยแต่ละวันจะมีพิซซ่ามาเสริฟไม่เหมือนกันนะครับ แต่หน้ามาการิต้านี้ถือว่าเป็น Standard ของที่นี่ ของในไลน์หมดเมื่อไหร่ก็ได้ทานถาดใหม่อบร้อนๆจากเตาอย่างแน่นอน
ส่วนตัวมาเป็นโซนอาหารร้อน โดยมีให้เลือกผ่านตั้งแต่หอยลายผัดน้ำพริกเผา แกงเขียวหวานลูกชิ้นกุ้ง/เนื้อปลานึ่งมะนาว (ที่สีสันดูไม่ค่อยแซ่บสักเท่าไหร่) ต้มยำกุ้งใส่กุ้งเด้งให้เยอะ (แต่รสชาติความเผ็ดเปรี้ยวแซ่บกลางๆ) ซุปล็อบสเตอร์(ที่นำเปลือกล็อบสเตอร์มาทำเป็นซุปรสชาติเข้มข้นหอมมัน) และกุ้งอบวุ้นเส้นถือว่าเป็น Signature ของที่นี่นอกจากที่จะใส่กุ้งเด้งให้ค่อนข้างเยอะแล้ว การปรุงรสของกุ้งอบวุ้นเส้นที่นี่รสชาติเข้มข้น หอมกลิ่นสมุนไพรมีความหวานนำเล็กน้อย ส่วนตัวแล้วค่อนข้างชอบกุ้งอบวุ้นเส้นของที่นี่มากเลย เดินไปตักมาทาน 2-3 รอบแหนะ
เดินถัดมาจะเป็นโซนขนมปังซึ่งจะทาเนยทานเปล่าๆ หรือทานกับซุปล็อบสเตอร์เมื่อกี้ก็ได้ครับ แล้วก็มาถึงโซนพิเศษ Pasta Station โดยที่นี่จะมีซอสให้เลือกผัดทั้งหมด 3 แบบคือซอสคาโบนาร่า/Olio Sauce (หรือผัดน้ำมันมะกอกใส่พริกสไตล์ไทยนั่นแหละ) และTomato Basil sauce มีเส้นให้เลือก 2 แบบคือสปาเก็ตตี้ปกติกับแพนเน่ อยากทานเมนูไหนเส้นอะไรก็เขียนได้ในใบสั่งที่อยู่ตรงหน้า Station ได้วันนี้ผมสั่งเป็น สปาเก็ตตี้ผัด Olil Sauce เมื่อสั่งปุ๊บเชฟก็จะผัดสดๆเห็นกันทันที ระหว่างนี้ใครอยากทานใส่กุ้งสด/ใส่เนื้อปู/เนื้อปลาก็สามารถไปหยิบจากไลน์อาหาร แกะเปลือกเอาแต่เนื้อมาให้เรียบร้อย แล้วสามารถนำมาผสมในสปาเก็ตตี้ได้เช่นเดียวกันครับ ส่วนรสชาตินั้นเรียกได้ว่าค่อนข้างครบรส เค็มกำลังดี/เผ็ดมีความหวานมะเขือเทศเล็กน้อย หอมกลิ่นน้ำมันมะกอก ดีงามเลยครับ
โซนอาหาร Hot Dish ยังไม่หมดยังมีให้เลือกทานกันอีก 4 เมนูคือ หมูอบซอสเห็ด (เป็นหมูส่วนสันคอชิ้นใหญ่อบมาสุกกำลังดี ราดด้วยซอสเห็ดรสเค็มกลมกล่อม) ไก่อบซอสไวน์แดง/หมูผัดกระเทียม (อันนี้ถือว่าจะเป็นเมนูที่แสนจะธรรมดา แต่รสชาติเข้มข้นหวานเค็มหอมกลิ่นกระเทียมและกระเทียมเจียวแบบเต็มๆทุกๆคำ) นี่ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในไลน์บุฟเฟ่ต์ก็อยากจะทานให้เยอะอยู่แต่ต้องเผื่อท้องไว้กินอย่างอื่นด้วย เมนูสุดท้ายคือผักโขมอบชีส ผักโขมผัดกับวิปปิ้งครีม ปรุงรสมาเค็มเล็กน้อย ราดด้วยชีส อบจนเกรียมกรอบด้านบน คงไม่ต้องสงสัยในความอร่อยนะครับ
ต่อกันด้วยโซนอาหารเสิร์ฟเย็นเริ่มต้นด้วยซูชิหน้าต่างๆ (ไข่หวาน/แซลมอน/ยำสาหร่าย/ปูอัด/แคลิฟอร์เนียโรล)ที่ดูค่อนข้างมาตรฐานไม่ได้หวือหวาอะไร มาพร้อมกับโชยุวาซาบิกินดองและผักเคียงสไตล์ญี่ปุ่น และซาซิมิปลาแซลมอน ที่ตัดเรียงมาให้อย่างสวยงาม ตอบโจทย์สาวกปลาสีส้มอย่างแน่นอน อยากตักกันเข้าไปให้สาแก่ใจได้เลย
ตามมาด้วยโซนชีสและ Cold Cut ชีสของที่นี่มีให้เลือกทาน 2 แบบคือ Emmental Cheese และ Bire Cheese เลือกทานได้กับเครื่องเคียงถึง 6 แบบคือ มะม่วงอบแห้ง กีวี่อบแห้ง มะละกออบแห้ง ถั่ววอลนัทอบ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ และเมล็ดฟักทอง (ส่วนตัวผมชอบ Bire Cheese ทานกับผลไม้แห้งอยู่แล้ว ที่นี่ตอบโจทย์มาก) และนอกจากนี้ยังสามารถทานกับสโมคแซลมอน (ปลาแซลมอนรมควัน) แฮมหมู และแฮมไก่ก็ได้เช่นเดียวกัน หรือจะทานเปล่าๆก็อร่อยครับผม (แต่ส่วนตัวว่าค่อนข้างมันเลี่ยนไปหน่อย โดยเฉพาะแซลมอนเลยไม่ได้ตักมาชิมครับ)
ต่อกันด้วยโซนสเต็กตัดแบ่งพร้อมทาน เริ่มจากเมนูปลากะพงอบสมุนไพรเสิร์ฟพร้อมไวท์ซอส เป็นปลากระพงชิ้นใหญ่ 1 ซีก อบด้วยเครื่องสมุนไพรสไตล์ฝรั่งและเนยรสชาติเค็มหอม เวลาทานให้ราดด้วยไวท์ซอส เพิ่มความหอมมัน ต่อกันด้วยเมนูไก่ย่าง เป็นไก่ส่วนสะโพกติดหนัง ย่างมาหนังกรอบเนื้อด้านในชุ่มฉ่ำ ทานกับจิ้มแจ่วอีกสักหน่อยบอกเลยว่าจะแจ่มแมวครับ และอยากสุดท้ายเป็นเนื้อแกะอบ นำเนื้อแกะชิ้นใหญ่ไปอบจนด้านนอกสีเหลืองทองด้าน ในอมชมพูทานกับซอสบาร์บีคิว/ซอสmintพร้อมกับผักย่าง ครบเครื่องตามแบบฉบับสเต็กเนื้อแกะที่ควรมี
เมนูของคาวหมดกันไปแล้ว ต่อกันด้วยส่วนของเครื่องดื่มและขนมหวาน โดยเครื่องดื่มที่โรงแรมมีเสิร์ฟให้ในบุฟเฟ่ต์นั้นจะมีแค่น้ำเปล่า (พนักงานคอยเติมให้ที่โต๊ะตลอดเวลา) และก็ยังมีชากาแฟร้อนให้กดจากเครื่องอัตโนมัติอีกด้วย (ถ้าใครทานแล้วนอนหลับสบายก็เชิญลุยกันได้เลยครับ) ของหวานอย่างแรกเป็นผลไม้สดตัดแต่ง มีให้เลือก 4 อย่าง คือแตงโม/แคนตาลูป/สับปะรดและแก้วมังกร เสิร์ฟพร้อมกับน้ำจิ้มพริกเกลือและพริกบ๊วย ส่วนถัดมาจะเป็นช็อกโกแลตฟองดูว์ซึ่งไม่ได้จัดอลังการแบบโรงแรมอื่น แต่ช็อกโกแลตที่นี่คุณภาพดีมาก (เหนียวเข้มหวานน้อย) มีให้เลือก 2 แบบคือ แบบปกติและไวท์ช็อกโกแลต สามารถจุ่มผลไม้โรยด้วยเครื่องต่างๆจากส่วนนี้ได้ตามใจครับ ถัดมาเป็นตู้ไอศครีมมีวางไว้ตักทานทั้งหมด 5 รสชาติคือช็อกโกแลต/สตอเบอรี่/รัมเรซิ่น/ชาเขียวและวนิลา ซึ่งทางโรงแรมบอกว่าที่นี่ใช้ไอศครีมคุณภาพดีจากร้านพิเศษที่ทางโรงแรมจัดสรรหามา (จะบอกว่าดีมากเนื้อไอศครีมรสเข้มข้น เนื้อเนียนนุ่ม กลิ่นหอมนม) อีกทั้งยังสามารถไปหยิบเครื่องต่างๆ จากโซนฟองดูว์มาทานคู่กับไอศครีมได้อีกด้วย
ขนมหวานของที่นี่ยังไม่หมดแค่นั้น ถัดออกมาด้านนอกตรงประตูทางเข้าห้องอาหารจะเป็นซุ้มขนมหวานขนาดใหญ่ เริ่มจากบลูเบอรี่ชีสเค้ก รสชาติหวานมัน อมเปรี้ยวเล็กน้อยอัดบลูเบอรี่และครีมมาให้อย่างแน่น ต่อกันด้วยเมนูเลมอนทาร์ต เป็นไส้ครีมผสมกับเปลือกเลมอน รสอมเปรี้ยวและขมเล็กน้อย เค้กช็อกโกแลตรสชาติเข้มข้นชิ้นใหญ่ บานอฟฟี่เป็นเค้กช็อกโกแลตด้านล่าง ผสมกับซอสคาราเมล โรยหน้าด้วยกล้วย/วิปปิ้งครีม Mini Fruit Tartlet แป้งทาร์ตที่ด้านล่างเป็นไส้ครีม ด้านบนอัดด้วยผลไม้สดอย่างส้มกีวี/ส้ม/บลูเบอร์รี่อร่อยเปรี้ยวสดชื่น แต่ข้อเสียของส่วนขนมหวานที่นี่คือ ทาร์ตไม่ได้ถูกอยู่ในตู้เย็น ทำให้แป้งไม่ค่อยกรอบเท่าไหร่ แต่รสชาติโดยรวมถือว่าดีครับ
ขนมหวานชุดสุดท้ายก่อนที่จะเริ่มทานอาหารมื้อนี้ มีแพนนาคอตต้ามะม่วง/เยลลี่สตอเบอรี่/สาคูอัญชันมะม่วงน้ำกะทิ (รสชาติคล้ายข้าวเหนียวมะม่วงแต่เปลี่ยนเป็นสาคู)/ขนมไทยลูกชุบ-ทองหยิบ-ทองหยอด และฝอยทอง/เค้กช็อกโกแลตมูสที่ด้านในสอดไส้แยมสตอเบอรี่/ส่วนด้านบนเป็นมูสสตอเบอรี่ที่โรยหน้าด้วยแยมสตอเบอรี่ทีนึง/สุดท้ายเป็นครีมบูเล่ ด้านบนลนไฟจนน้ำตาลเปลี่ยนเป็นสีคาราเมล พร้อมกับโรยหน้าด้วยบลูเบอรี่มาถ้วยละ 1 เม็ด แต่ว่าครีมบูเล่ถ้วยนี้ไม่ได้อยู่ในตู้เย็น ! รสชาติอร่อยหอมมันแต่น้ำตาลด้านบนไม่ค่อยกรอบเท่าไหร่ น่าเสียดายครับ
ปิดท้ายมาด้วยชุดเมนูที่ทำห้องอาหารจัดให้เราถ่ายรูป เป็นการรวมเมนู Signature ของที่นี่เอาไว้ทั้งหมดคือ Seafood On Ice ที่ทางผมได้บอกไปแล้วเบื้องต้น และซีฟู้ดย่างที่รวมทุกอย่างมาให้ในจานเดียว ต้องขอชื่นชมทางห้องอาหารอย่างหนึ่งว่าซีฟู้ดที่นี่สดมาก โดยเฉพาะปูม้าแกะกรรเชียงออกมาเนื้อเป็นก้อนใหญ่สวยงาม (ถ้าเทียบกับหลายโรงแรมที่ผ่านมาเนื้อปูม้าที่นี่ดีที่สุด) ส่วนอาหารอย่างอื่นๆก็ถือว่าสดดีเลยแหละ (ก็สมกับที่เขาชูโรงมาว่าซีฟู๊ดเผาของที่นี่คุณภาพดีที่สุดนั่นแหละ) แต่ที่ประทับใจที่สุดในมื้อนี้คือกุ้งลายเสือ เนื้อกรอบเด้งและราคาแพง ปกติไลน์บุฟเฟ่ต์ที่อื่นจะไม่เห็นกุ้งลายเสือนำมาเสิร์ฟแบบนี้ ที่นี่ถือว่าเป็นที่แรกและทำได้ค่อนข้างประทับใจเลยครับ สปาเก็ตตี้ที่เราสั่งไปเมื่อกี้ทางโรงแรมมีการโรยชีสและจัดแต่งจานให้อย่างสวยงาม รสชาติอร่อยเค็มกำลังดีเปรี้ยวมะเขือเทศเผ็ดพริกแห้ง หอมโหระพาและน้ำมันมะกอกและมันชีสเล็กน้อยอร่อยลงตัวมาก Signature ของที่นี่อีกอย่างคือกุ้งอบวุ้นเส้น อร่อยหรือไม่อร่อยไม่รู้แต่ผมเติมไป 3 รอบ ดีงามสุดๆ และพิซซ่าที่อบสดใหม่แป้งบางกรอบอัดชีสมาให้อย่างแน่น ก็ถือว่าเป็นเมนูที่ได้รับความนิยมที่ห้องอาหารนี้เหมือนกัน พอว่างปุ๊บหมดปั๊บ เชฟทำให้ใหม่อยู่ตลอดเวลา
ห้องอาหาร Crave Wine Bar And Restaurant โรงแรม อลอฟท์กรุงเทพฯ สุขุมวิทซอย 11 เมื่อเทียบกับราคาที่จ่ายไป 750 บาท NET. กับคุณภาพของอาหาร/การบริการและรสชาติที่ได้รับนั้น บอกเลยว่าเกินราคามากครับ ถ้าคุณเป็นสายซีฟู้ดตัวจริงแล้วล่ะก็ที่นี่ห้ามพลาดเลย โดยเฉพาะคนที่ชอบทานกุ้งอย่างกุ้งลายเสือที่ราคาค่อนข้างสูง แต่ที่นี่มีให้ทานได้แบบไม่อั้น (ทานสัก 1 กิโลก็น่าจะเกือบเท่าราคาบุฟเฟ่ต์แล้วครับเผลอๆเกินด้วย) ถ้าเป็นอาหารปรุงรสอื่นๆต้องบอกว่ารสชาติอยู่ในระดับปานกลางนะครับ ไม่ได้ทำรสเผ็ดจัดจ้านจนเกินไป (แต่เมนูที่ไม่เผ็ดนี่ทำรสชาติเข้มข้นเลยนะ) เพราะว่าแถวนี้เท่าที่สังเกตแล้ว มักจะเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาใช้บริการเป็นส่วนใหญ่ แค่มาทานซีฟู๊ดสดๆก็ถือว่าคุ้มเกินพอแล้วครับ เอาคะแนนความคุ้ม/อร่อยไป 5 ดาวครับ 🌟🌟🌟🌟🌟
พิกัด : เลขที่ 35 ซอย สุขุมวิท 11 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110
บุฟเฟ่ต์เปิดให้บริการทุกวันศ.-ส. 18.00 - 22.00 น. โทร.02-207-7000 (ติดต่อห้องอาหาร Crave)
อ่านรีวิวแล้วชอบรบกวนช่วยกด Share ให้เพื่อนๆอ่าน
แล้วตามไปกดถูกใจเพจของเราที่นี่ > https://www.facebook.com/FoodAddictsThai/ <
และอย่าลืมกด See First เพื่อที่จะได้ไม่พลาดรีวิวใหม่ๆของเรานะ 😘😘😘
Comments