ถ้าพูดถึงร้านนั่งดื่มชิลล์ๆสไตล์ Izakaya หลายๆคนมักจะคิดว่ามีแค่อาหารญี่ปุ่น แต่วันนี้เพื่อนๆผมนัดชวนกันพามาเปิดประสบการณ์ใหม่ที่ร้านแห่งนึงอยู่ภายในซอยสุขุมวิท 33 นั่นก็คือ "Chim Ramen And Diner" คะแนนรีวิวจากทุกสำนักไม่ธรรมดาอยู่ที่ 4.2-4.6 เต็ม 5 ดาว เป็นร้านขายราเมนสไตล์เอเชียฟิวชั่นที่มีอาหารจานหลักและกับแกล้มเครื่องดื่มในบรรยากาศแบบบาร์สุดหรู อีกทั้งยังได้รางวัล "Wongnai User Choice" การันตีความอร่อยทั้งที่เพิ่งเปิดให้บริการมาเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้นแสดงว่าต้องเด็ดอย่างแน่นอน วิธีการเดินทางหากขับรถยนต์ส่วนตัวมาเองให้ปักหมุดค้นหาชื่อในแผนที่บนมือถือแล้วจอดด้านหน้าร้านได้เลยสะดวกสุดๆ แต่ถ้าหากเดินทางมาด้วยบริการขนส่งสาธารณะแนะนำให้ลง BTS สถานีอโศก หรือ MRT สถานีสุขุมวิท เดินออกประตูทางเข้าหน้าห้าง Terminal 21 จากนั้นเรียกแท็กซี่มาที่ร้านประมาณ 1.5 กิโลเมตร แต่ถ้าคุณเป็นคนขยันเดินหน่อยให้ลง BTS สถานีพร้อมพงศ์แล้วออกฝั่งห้าง Emquartier แล้วเริ่มขยับร่างกายจนถึงจุดหมายอีกประมาณ 800 เมตร ทางเข้าถือได้ว่าเป็นร้านลับเพราะอยู่ในซอยเล็กๆชั้น 1 ของอาคาร AP Suites แต่มีป้ายชื่อพร้อมลูกศรบอกพิกัดอยู่ทางขวามือเมื่อตรงเข้ามาในซอยสุขุมวิท 33 เป็นห้องกระจกสีดำและป้ายไฟวงกลมสีเขียวเข้มตัวอักษรสีแดงแบบนี้แสดงว่ามาถูกแล้วครับ
มองจากประตูหน้าร้านเผินๆแล้วดูเหมือนเป็นร้านอาหารที่ไม่ค่อยน่าสนใจแต่พอเปิดประตูเข้ามาแล้วบอกได้เลยว่าราวกับคนละโลก เริ่มจากสีหลักที่ทางร้านใช้ปูพื้นเป็นกระเบื้องยางลายหินอ่อนสีดำมีประกายเล็กน้อยเมื่อต้องกับแสงไฟตัดกับผนังกระเบื้องและทาด้วยสีเขียวเข้ม และ 2 ใน 4 ของมุมทั้งหมดภายในก็ร้านใช้กระจกบานใหญ่พิเศษช่วยเปิดรับแสงจากธรรมชาติให้สอดส่องเข้ามาอย่างทั่วถึง ส่วนเฟอร์นิเจอร์อย่างเก้าอี้ใช้สีแดงฉูดฉาดตัดกับโต๊ะไม้โทนสีเข้มยกเว้นมุมตรงหน้าต่างที่ใช้โต๊ะสีอ่อนให้ดูสว่างสวยงามกว่าจุดอื่น เพิ่มความเป็นเอเชียด้วยโหลใส่ของหมักและกำแพงที่เต็มไปด้วยหนังสือพิมพ์จีนกับป้ายไฟนีออนสีแดง เขียนคำว่า "Experimental Culture Dining" ที่แปลว่า "การรับประทานอาหารเชิงวัฒนธรรมทดลอง" ให้จำเอาไว้ก่อนเดี๋ยวเราจะมาอธิบายให้ฟัง ส่วนฝ้าก็ปูด้วยสีดำให้ความอบอุ่นอีกนิดโดยใช้ไฟสีส้มมองผ่านๆคล้ายกับท้องฟ้าที่มีแสงดาวประกายตอนกลางคืน ส่วนตัวชอบมากเพราะดูทางร้านได้จัดโทนสี-แสงให้สวยงามหรูหราลงตัวได้ในพื้นที่จำกัดและไม่รู้สึกอึดอัดแบบบาร์อื่นๆเลยครับผม
เมื่อเรามานั่งที่โต๊ะทางร้านก็จะนำเล่มเมนูเป็น QR Code ออกมาให้เราสแกนและสั่งอาหารกับพนักงาน สำหรับรายการเครื่องดื่มมีเป็นใบเล็กๆ 3 หมวดหลักคือ 1. น้ำอัดลม ที่ไม่ใช่แค่น้ำหวานอัดแก๊สปกติเพราะมีให้สั่งทั้งคอมบูฉะสูตรหมักเองของทางร้าน/ชาอู่หลงผสมเก็กฮวย-มะลิ/ชาร้อนและม๊อกเทลถูกจัดอยู่ในหน้านี้ ราคาเริ่มต้นที่ 30-150 บาท 2. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีให้สั่งทั้ง Whiskey/ Gin/ Single Malt/ Rum/ Tequila/ Vodka/ Beer และ Umechu ให้เลือกหลากหลายยี่ห้อราคาเริ่มต้นที่ 100- 1,800 บาท 3. Cocktail มีให้สั่ง 7 สูตรทั้งแบบทางร้านคิดค้นขึ้นมาเองและพื้นฐานแบบเดียวกับที่เสิร์ฟในร้านอื่นๆ ซึ่งวันนี้ผมมากับกลุ่มเพื่อนๆไม่ดื่มเลยขอข้ามไปครับ
ส่วนตัวไม่เคยทานร้านนี้มาก่อนเลยสอบถามกับพนักงานว่ามีเมนูไหนแนะนำบ้างเพราะสั่งไม่ถูกจริงๆ โดยแต่ละจานมีความน่าสนใจในตัวเองค่อนข้างสูงและคงหาไม่ได้จากร้านอื่น เริ่มที่ออเดิร์ฟจานแรกก็คือ "หอยนางรมแช่ซีอิ๊วมะกรูด" ราคา 120 บาท เป็นหอยนางรมสดเนื้อขาวอวบเอาไปแช่ในซอสซีอิ๊วสูตรพิเศษที่ทางร้านทำขึ้นมาเอง ลอยหน้าด้วยน้ำมันสกัดเย็นจากมะกรูดมีกลิ่นหอมฟุ้งตีขึ้นจมูกโรยหน้าด้วยต้นหอมและงาขาว 1 จานเสิร์ฟ 3 ตัว คีบเข้าปากสัมผัสแรกที่รู้สึกได้เลยคือความเย็นนุ่มนวลกัดแล้วเนื้อหอยเป็นครีมละลายในปาก ซีอิ๊วรสเค็มอมหวานผสมกับความสดชื่นของมะกรูดคือดีงามมากหรือจะเพิ่มความเผ็ดแซ่บด้วยวาซาบิดองที่เคียงวางมาข้างจานก็อร่อยจี๊ดไปอีกแบบ สร้างความประทับใจได้ตั้งแต่จานแรกเลยครับ เมนูต่อไปเรามักจะเห็นถูกเสิร์ฟแค่ในร้านอาหารจีนก็คือ "ลูกชิ้นหมูสับปลาเค็มย่าง" ราคา 60 บาท (สั่งมาให้เพื่อนที่ไม่ทานของดิบ) เป็นหมูสับหยาบๆผสมเนื้อ-หนังปลาเค็มทำเองสูตรของทางร้านที่มีกลิ่นหอมรุนแรงแต่รสชาติไม่เค็มจัดเหมือนกลิ่นที่ได้รับ ย่างมากรอบนอกสีเหลืองทองด้านในชุ่มฉ่ำทานเคียงกับพริกสด/หอมแดง/ยอดผักชีและบีบน้ำมะนาวสดลงไปหน่อย อร่อยจี๊ดจ๊าดครบเครื่องดีมากครับผม
จานต่อมาเป็นอีกเมนูที่สุ่มเสิร์ฟว่าจะได้ทานอะไรนั่นก็คือ "ปลาไทยตามใจคนจับดอง" ราคา 180 บาท วันนี้เราได้ทานเป็นปลาเนื้อขาวสัมผัสแน่นไขมันน้อยที่ชื่อว่า "ปลาแดงแซว" หรือ "ปลาแดงหาบ่วง" ที่เชฟได้เอามาจากชาวประมงสดๆมาดองสูตรของที่ร้าน ถ้าหลับตาแล้วเคี้ยวให้สัมผัสเหมือนกำลังทานแฮมขาหมูจีนไม่มีรสเปรี้ยวจัดอย่างที่จินตนาการเอาไว้ตอนแรก ด้วยความที่เป็นเนื้อปลาจึงให้ความสดชื่นกินง่ายไม่ค่อยเลี่ยนนักหากต้องการเพิ่มความจี๊ดจ๊าดอีกนิดที่ข้างจานมีวาซาบิดองเนื้อกรุบกรอบกลิ่นฉุนตีขึ้นจมูกอยู่ช่วยเพิ่มรสชาติได้เป็นอย่างดี จานต่อไปก็ส่งมาให้เพื่อนที่ไม่ทานของดิบนั่นก็คือ "ข้าวโพดอ่อนดองและพาเมซานชีส" ราคา 50 บาท เป็นข้าวโพดอ่อนหั่นยาวเอามาดองให้เนื้อนุ่มรสเปรี้ยวอมหวานอ่อนๆ เพิ่มความเค็ม-มันอร่อยนัวด้วยผงชูรสฝรั่งนั่นก็คือพาเมซานชีสขูดแต่งให้สวยงามด้วยผงปาปริก้าและต้นหอม ดูหน้าตาธรรมดาๆแต่บอกได้เลยว่าทานแล้วเบรคแตกแปปเดียวหมดจานครับ
เมนูต่อไปเป็นอาหารเอเชียฟิวชั่นที่เอามารวมด้วยกันถึง 3 สัญชาติในจานเดียวนั่นก็คือ "โฮมเมดชีสอินเดียซอสทรัฟเฟิล" ราคา 185 บาท เป็นชีสอินเดียที่เชฟทำขึ้นเองเนื้อแน่นเนียนละเอียดเอาไปย่างให้สีสวยงามเรียงกัน 8 ชิ้นใหญ่ ล้อมรอบด้วยซอสสูตรพิเศษรสชาติคล้ายน้ำปลาหวานไทยแต่ไม่มีกลิ่นเฉพาะตัวเพราะถูกแปลี่ยนเป็นทรัฟเฟิลแทน เพิ่มความกรุบกรอบด้วยแตงกวาญี่ปุ่น/มะเขือเทศ/แรร์ดิชสไลด์บางและโรยหอมเจียวลงไปแบบจุกๆ เพิ่มสีสันให้สวยงามด้วยต้นหอม/ยอดผักชีและงาขาว รสชาติก็เหมือนกับเอาชีสอินเดียที่มีความจืดแต่หอมมันนัวๆไปทานกับน้ำปลาหวานกลิ่นทรัฟเฟิลรสเค็มกำลังดีซึ่งถือว่าแปลกใหม่และทำได้ลงตัวมากๆครับ จานต่อไปถ้าเมาแล้วได้มากินรับรองว่าสร่างเลยก็คือ "สลัดผักไทยพื้นบ้านใบฉุนคลุกน้ำสลัดแจ่วแซ่บ" ราคา 85 บาทประกอบไปด้วยสมุนไพรที่มีกลิ่นรุนแรงมากมายทั้ง ใบโหระพา/ผักชีใบเลื่อย/ผักชีลาว/ผักชีไทย/ตะไคร้ซอยและหอมแดงคลุกกับน้ำซอสแจ่วรสชาติเปรี้ยวเผ็ดอมหวานเค็มกำลังดีกรุบกรอบข้าวคั่วโรยหน้าด้วยงาขาว ลองไปคำเดียวบอกได้เลยว่ามาทั้งกลิ่น/ความแซ่บและสัมผัสกรอบสดชื่นของผักและสมุนไพรที่ใส่ลงไปแบบจัดเต็มแตกต่างจากหน้าตาตอนเสิร์ฟมากๆครับ
มากินร้านราเมนแบบนี้ก็ลองสั่งมาชิมคนละชามเป็น "Chim's Ramen - River Prawn" ราคา 335 บาท ให้ปริมาณแทบล้นชาม เป็นน้ำซุปมิโสะมันกุ้งเข้มข้นสูตรที่เชฟทำเองจึงมีกลิ่นหอมรุนแรงราวกับซุปครีมล๊อปสเตอร์แต่สัมผัลไม่ข้นจึงไหลลื่นลงคออย่างง่ายดาย เส้นราเมนที่ใช้ในชามนี้เป็นแบบโฮมเมดเส้นใหญ่เหนียวนุ่มระดับกลางเข้ากับน้ำซุปสูตรเข้มข้นของทางร้านได้เป็นอย่างดี ตกแต่งหน้าตาให้อลังการด้วยท๊อบปิ้งต่างๆทั้ง เมล็ดข้าวโพดหวาน/เบบี้บ๊อกฉ่อย/ยอดผักชี/ต้นหอมซอย/ไข่ต้มดองซีอิ๊วรสหวานนำเค็มไข่แดงหอมมัน-เนื้อไข่ขาวเหนียวหนึบสู้ฟันและกุ้งแม่น้ำผ่ากลางเหยียดตัวให้ตรงที่เดาว่าน่าจะเอาไปทอดเนื้อเด้งกรอบมีมันสีส้มสดเต็มตัวกุ้งคุณภาพสูง กินไปสักพักเพิ่งสังเกตว่าในน้ำซุปมีหมูสับชิ้นเล็กๆผสมอยู่และจะค่อยๆเลี่ยนไขมันกุ้งทางร้านจึงเสิร์ฟมาคู่กับ "มิโสะรสเผ็ด" หรือ "คาเระมิโสะ" ขอเตือนก่อนเลยว่าให้ใส่ทีละนิดหน่อยช่วยเพิ่มความเผ็ดร้อนแสบลิ้นตัดความมันเลี่ยนได้ดีมาก เท่ากับว่าสั่งมาชามเดียวได้ทานถึง 2 รสชาติ แถมยังอร่อย/ใช้วัตถุดิบชั้นดีและให้ปริมาณเยอะสุดคุ้มชอบมากครับ
ส่วนใครที่เป็นสายเนื้อวัวและไม่ชอบทานซุปมิโสะเลี่ยนๆแนะนำให้สั่งชามนี้คือ "Dry Beef Tongue Ramen" ราคา 365 บาท เป็นราเมนแห้งที่ใช้เส้นแบบเดียวกับชามที่แล้วท๊อบปิ้งด้วยเครื่องและผักต่างๆคล้ายกันแค่เพิ่มหอมเจียวและเปลี่ยนเป็นลิ้นวัวตุ๋นแทน โดยความอร่อยหลักของเมนูนี้อยู่ตรงลิ้นวัวหั่นเต๋าชิ้นใหญ่ทางร้านเลือกใช้ทั้งส่วนโคนจนถึงกลางลิ้นเอามาตุ๋นจนนุ่มมีรสชาติของซอสกับเครื่องเทศเข้มข้นซึมเข้าเนื้อทุกอนูและนุ่มนิ่มจนไม่เหลือความกรุบกรอบสู้กรามเล็กน้อยเวลาเคี้ยวตามธรรมชาติของลิ้นวัว เราคิดว่าแรงบันดาลใจของเมนูนี้นั่นคือ "บะหมี่หน้าหมูหวานสไตล์จีน" ที่ถูกเอามาเล่าเรื่องใหม่ตามแบบฉบับของทางร้าน ลิ้นวัวตุ๋นนุ่มๆรสเข้มข้นกินคู่กับเส้นราเมนเหนียวหนึบและผักรสหวานอ่อนๆเพิ่มความกลิ่นหอม-กรุบกรอบด้วยหอมแดงเจียว เสิร์ฟมาพร้อมกับมิโสะซุปลอยด้วยใบโหระพาร้อนๆซดแล้วสดชื่นคล่องคอไม่เหมือนใคร ถือว่าเป็นราเมนที่สายเนื้อวัวตัวจริงไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งครับ
หากใครเป็นสายคลั่งไคล้ปูก็ไม่ต้องขับรถออกไปทานแถวทะเลให้เสียเวลาเพราะที่นี่เขามีราเมนเสิร์ฟเย็นๆอย่าง "Cold Noodle Crab Truffle" ราคา 400 บาท ใช้เส้นแบบเดียวกับราเมนชามก่อนแต่มีการเอาไปช๊อกในน้ำเย็นจัดก่อนเสิร์ฟจึงมีความเหนียวหนึบสู้ฟันคล้ายเส้นพาสต้า ท๊อบปิ้งด้วยเครื่องต่างๆมากมายทั้งเนื้อก้ามปูม้าหวานฉ่ำคลุกงาขาว/แตงกวาญี่ปุ่นกรุบกรอบ/สาหร่ายเส้นสไตล์ญี่ปุ่นเพิ่มกลิ่นหอม/ยอดผักชีไทย/ซอสทรัฟเฟิลเข้มข้น/วาซาบิ/ขิงดองน้ำผึ้งและไข่ออนเซ็น วิธีการทานคือคลุกทุกอย่างให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียวจากราเมนเย็นก็แปลงร่างกลายเป็น "พาสต้าก้ามปูซอสทรัฟเฟิลสไตล์ญี่ปุ่น" เพราะถ้าให้ปิดตาแล้วชิมโดยไม่เห็นหน้าตาก็คือเหมือนเป๊ะ แต่ไม่รู้สึกเลี่ยนเพราะเครื่องต่างๆช่วยเพิ่มความสดชื่นได้ตั้งแต่คำแรกจนหมดเกลี้ยงชาม เป็นอีกเมนูที่ประทับใจมากๆเลยครับ
เมนูต่อไปพนักงานแนะนำว่าเป็นเมนูขายดีอันดับ 1 ของทางร้าน (ก็ชวนงงอยู่เหมือนกันเพราะเป็นร้านราเมนแต่จานนี้ขายดีแทน) นั่นก็คือ "ข้าวผัดพริกขี้หนูปูเยอะกว่าข้าว" เสิร์ฟชามใหญ่ขนาดนี้ราคาแค่ 280 บาท เป็นการผสมผสาน 2 เมนูในชามเดียวกันนั่นก็คือปูผัดพริกขี้หนูและข้าวผัดปูเสิร์ฟพร้อมแตงกวาญี่ปุ่น/ผักชีและน้ำจิ้มซีฟู๊ด ดูแค่หน้าตาแว๊บแรกเหมือนรู้สึกเหมือนถูกหลอกหน่อยๆไหนว่าปูเยอะกว่าข้าวแต่พอลองคลุกดูจริงๆด้านล่างมีเนื้อก้ามปูผสมอยู่เยอะมาก ข้าวที่ใช้เป็นหอมมะลิชั้นดีเมล็ดเรียวยาวสัมผัสเหนียวหนึบผัดมาร่วน รสชาติกลมกล่อมหอมกลิ่นไหม้กระทะเพิ่มความเผ็ดจี๊ดด้วยพริกขี้หนูสีเขียวเม็ดโดดราวกันถูกลอบวางระเบิดในชามเป็นจุดๆ ปกติร้านอื่นจะมาคู่กับพริกน้ำปลาแต่ชามนี้เขาให้ทานคู่กับน้ำจิ้มซีฟู๊ดรสหวานอมเปรี้ยวใส่กระเทียมและพริกลงไปจนสัมผัสเหนียวข้นเคลือบเมล็ดข้าวและปูได้อย่างทั่วถึง ช่วยลดความเลี่ยนและทานได้เรื่อยๆจนหมดชามแต่ก็เผ็ดมากเช่นเดียวกันครับ
ของคาวจานสุดท้ายตอนแรกไม่กล้าสั่งเพราะไม่รู้ว่าจะได้ทานอะไรแต่พอมาเสิร์ฟจริงๆกลับชอบที่สุดในวันนี้คือ "Chef's Pasta" เป็นพาสต้าที่เปลี่ยนเส้นและซอสไปเรื่อยๆตามกิเลสของเชฟและวัตถุดิบในแต่ละวันที่ได้มา โดยสามารถแจ้งก่อนล่วงหน้าได้ว่าไม่ทานหรือแพ้อาหารอะไร ราคาจานละ 350 บาท วันนี้เราได้มาเป็นพาสต้าครีมซอสผสมมิโสะมันกุ้ง-เนื้อกุ้งและพาเมซานชีสขูด ตัดความเลี่ยนด้วยมะเขือเทศ/ต้นหอมซอยและบีบเลมอนสดลงไปเล็กน้อยก่อนเริ่มทาน รสชาติเข้มข้นถึงใจเนื้อกุ้งกรอบสนั่นลงตัวในทุกมิติสุดๆแถมให้ปริมาณเยอะมาก เอาเป็นว่าถ้าใครอยากทานจานนี้ก็เอารูปในรีวิวนี้ใช้พนักงานดูตอนสั่งหรือจะเสี่ยงดวงเอาตาม Concept ร้านที่ว่า "Experimental Culture Dining" หรือ "การรับประทานอาหารเชิงวัฒนธรรมทดลอง" ที่ช่วยความแปลกใหม่และตื่นเต้นดูก็ดีครับ
ปิดท้ายกันก่อนออกจากร้านด้วยขนมหวานที่ไม่ธรรมดา 2 เมนูนั่นก็คือ "แอปเปิ้ลมิโสะคาราเมลและไอศครีม" ราคา 145 บาท เป็นแอปเปิ้ลเขียวรสเปรี้ยวเอาไปตุ๋นในคาราเมลกับมิโสะให้รสหวานเค็มกลมกล่อมเสิร์ฟร้อนๆ กินคู่กับไอศครีมวนิลาเย็นๆท๊อบปิ้งด้วยเมล็ดมะม่วงหิมพานต์คั่วหอมมันเคี้ยวกรุบกรอบ พอทานด้วยกันเป็นแนวดิ่งในคำเดียวกลายเป็นไอศครีมรส Salted Caramel อมเปรี้ยวเนื้อแอปเปิ้ลนิดๆอร่อยแปลกใหม่ดีมากครับ อีกจานเป็นขนมหวานที่ส่วนตัวคิดว่าค่อนข้างหลุดโลกไปนิดนึงคือ "ขนมปังหน้าสังขยาวาซาบิ" ราคา 135 บาท เป็นขนมปังชิ้นหนาย่างเนยให้กรอบฉ่ำแบบโทสต์ทานกับสังขยาใบเตยปลูกรั้วที่ข้างร้านสดๆผสมวาซาบิรสเผ็ดอมหวานฉุนขึ้นจมูกนัวกลิ่นนมเนย รวมๆดูเหมือนจะไม่ค่อยเวิร์คแต่เข้ากันได้แบบงงๆสั่งมาทานหรือแกล้งเพื่อนช่วงเมาน่าจะสนุกดีครับ
ส่วนเครื่องดื่มนอกจากน้ำเปล่า/น้ำอัดลม/ชาและแอลกอฮอล์แล้วอีกสิ่งที่เป็น Signature ของทางร้านนั่นคือ "คอมบูฉะ" สูตรหมักเองจริงๆสังเกตได้จากชั้นวางของภายในร้านที่เห็นอยู่นั่นแหละคือโถหมัก จากนั้นเอามาทำเป็นม๊อกเทลเสิร์ฟภายในร้าน เลยสั่งมาลองชิม 2 เมนูคือ "Home Brew Kombucha" ราคา 90 บาท เป็นชาหมักกับสับปะรดรสเปรี้ยวเพิ่มความหอมหวานด้วยไซรัปกลิ่นสับปะรดตกแต่งด้วยเลมอนรสหวานอมเปรี้ยวดื่มแล้วสดชื่นดี อีกแก้วไม่ใช่คอมบูฉะแต่เป็น "Yuzu Calamansi Soda" ราคา 120 บาท เป็นไซรัปส้มยูสุผสมน้ำส้มจี๊ดคั้นสดๆมีกลิ่นหอมเพิ่มความซ่าด้วยโซดาและตกแต่งให้สวยงามด้วยเลมอนหั่นซีกรสเปรี้ยวอมหวานไม่ต่างจากแก้วแรก ส่วนใครที่เป็นสายสุขภาพกำลังตามหาเชื้อหมักคอมบูฉะสามารถมาขอทางร้านไปเลี้ยงต่อได้ฟรีไม่คิดเงินเพิ่มแต่อย่างใด ตอนนี้อิ่มแล้วก็นั่งพูดคุยเสพบรรยากาศเข้าเสียงดนตรีภายในร้านอีกนิดหน่อยแล้วเรียกน้องพนักงานมาเก็บเงินครับ
มื้อนี้เรามาทานกัน 4 คน สั่งอาหารกับเครื่องดื่มไปมากกว่า 19 รายการทั้งหมด 3,322 บาท รวมกับ Service Charge อีก 10% เรียบร้อยแล้ว ส่วนตัวก็ถือว่าเป็นราคาสมเหตุผลเพราะได้รับประสบการณ์ที่แปลกใหม่กับวัตถุดิบคุณภาพสูง ปรุงออกมาเป็นเมนูฟิวชั่นสุดพิเศษหาทานไม่ได้จากร้านไหน โดยในแต่ละจานมีรายละเอียดเล็กน้อยๆสะท้อนถึงความเอาใจใส่ของเชฟได้เป็นอย่างดี ถือเป็นการรับประทานอาหารเชิงวัฒนธรรมทดลองที่ประทับใจมากๆ ได้รับคะแนนความอร่อยคุ้มไป 5 ดาวเลยครับ 🌟🌟🌟🌟🌟
พิกัด : อาคาร Ap suites เลขที่ 88 ซอยสุขุมวิท 33 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110
เปิดให้บริการทุกวันไม่มีวันหยุดตั้งแต่เวลา 11.30-23.00 น. (อาจมีการปรับเปลี่ยนตามนโยบายของรัฐบาล)
โทร. 02-204-3196
Facebook : www.facebook.com/chimramen
อ่านรีวิวแล้วชอบรบกวนช่วยกด Share ให้เพื่อนๆอ่าน
แล้วตามไปกดถูกใจเพจของเราที่นี่ > https://www.facebook.com/FoodAddictsThai/ <
และอย่าลืมกด See First เพื่อที่จะได้ไม่พลาดรีวิวใหม่ๆของเรานะ 😘😘😘
Comments