Food Addicts - เสพติดการกิน
รีวิวห้องอาหาร Scalini โรงแรม Hilton สุขุมวิท อร่อยกับ Saturday Brunch ล๊อปสเตอร์เป็นๆทานได้ไม่อั้น!
อัปเดตเมื่อ 15 มิ.ย. 2564
วันนี้ผมได้รับการรับเชิญจาก PR ของโรงแรม Hilton Sukhumvit Bangkok ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 24 โดยวันนี้เราจะเข้ามารีวิวห้องอาหาร Scalini ในเทศกาล Saturday Brunch จัดทุกวันเสาร์ บุฟเฟ่ต์เริ่มเวลา 12.30 - 15.00 น. ราคาท่านละ 2,400++ (ราคาสุทธิ 2,825 บาท) เด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบทานฟรี ส่วนอายุ 6 - 12 ปี จ่ายเพียงครึ่งราคา และโปรโมชั่นพิเศษ เพียงจองผ่าน Line@ ของทางโรงแรม ที่ลิงค์นี้ http://bit.ly/2ICqRPX ลดพิเศษเหลือเพียงท่านละ 2,400 บาทถ้วน (ราคานี้รวมน้ำเปล่าให้เรียบร้อยแล้ว) ห้องอาหารนี้สิ่งที่ขึ้นชื่อที่สุดนั่นก็คือ แคนาเดียนล๊อปสเตอร์แบบมีชีวิต เดินเล่นได้ในครัว สั่งให้ทานได้ไม่อั้น นอกจากนี้ยังมีไข่หอยเม่น คาร์เวียร์ ฟัวกรา ให้สั่งได้ทานไม่อั้นอีกด้วย ตอนแรกก็ว่าแพงนะสำหรับบุฟเฟ่ต์ราคานี้ แต่พอได้ยินวัตถุดิบต่างๆที่ทางโรงแรมนำมาเสิร์ฟในบุฟเฟ่ต์แล้ว ถือว่าสมเหตุสมผลครับ แต่คุณภาพจะดีอย่างที่เขาว่ากันมาหรือไม่ วันนี้เรามาชิมกันเลยครับ
เมื่อเข้ามาในโรงแรมแล้ว ให้ขึ้นมาที่ชั้น 2 ก็จะพบกับห้องอาหาร Scalini การตกแต่งที่นี่เน้นหนักไปในสไตล์ตะวันตก คล้ายกับร้านอาหารฝรั่งเก่าๆ มีให้เลือกนั่งทั้งโต๊ะไม้และโต๊ะหินอ่อน เก้าอี้เป็นทรงย้อนยุค มีทั้งแบบหุ้มหนังและแบบผ้าเล่นลายสีสันต่างๆ เลือกนั่งได้ทั้งมุมริมหน้าต่างและห้องไวน์ บรรยากาศค่อนข้างสลัว ใช้ไฟสีส้มทั้งห้องอาหาร บาร์อาหารก็เป็นเค้าท์เตอร์หินอ่อนสีดำทั้งหมด โดยรวมแล้วดูค่อนข้างเก่าแต่ยังคงความหรูหราอยู่ครับ
มาถึงทางห้องอาหารจะมี Welcome Drink มาให้กับลูกค้าคนละ 1 แก้ว เป็นม๊อกเทลโซดาที่ด้านล่างเป็นไซรัปกลิ่นสตรอเบอรี่มีความอมเปรี้ยวนิดๆ ตัดด้วยความกรอบของเนื้อแอปเปิ้ลและน้ำแข็งป่นด้านบน ช่วยทำให้สดชื่นดีครับ นอกจากราคาบุฟเฟ่ต์ที่เราบอกไปเบื้องต้นแล้ว หากใครต้องการทานเครื่องดื่มแบบพิเศษ ที่นี่ก็มีให้เลือกหลายแบบหลายราคา ทั้ง Non-Alcoholic 299++ / Beer Lover 499++ / Sparkle Wine 799++ และราคาแพงสุดสำหรับใครที่อยากทานเชมเปญไม่อั้นก็เพิ่มเงินอีก 1,399++ สั่งเป็น Flow Of Champagne และบุฟเฟ่ต์นี้ยังสามารถสั่ง Main Course ที่ไม่มีในไลน์บุฟเฟ่ต์ได้อีก 5 เมนู เดี๋ยวเราสั่งทุกอย่างอย่างละ 1 จานมารีวิวกันครับผม
เดินมาสำรวจไลน์อาหารเริ่มจากจุดแรกที่ใครๆต่างก็อยากพุ่งตรงมาทานที่ห้องอาหารนี้ แคนาเดียนล๊อปสเตอร์ตัวใหญ่แบบเป็นๆ ก้ามดิ้น/หนวดกระดิกให้เห็นว่าสดจริงๆไม่กำมะลอ และหอยนางรมระดับพรีเมี่ยมอย่าง Fin De Claire ตัวเล็กแต่หวานอร่อยกับ Irish West-Coast ที่เค็มน้ำทะเล เมื่อเราสั่งปุ๊บ (มีเลขโต๊ะสำหรับสั่งอาหารวางไว้ให้ที่โต๊ะ) เลือกได้เลยว่าจะเอาน้องกุ้งไปย่าง/นึ่ง/หรืออบชีส ส่วนหอยจะทานแบบไหน/กี่ตัว เชฟจะทำการปรุงให้เราเห็นที่ท้ายครัวไกลๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกสลับเอากุ้งตายมาให้เราทาน (ใครใจไม่แข็งพออย่ามาดูขั้นตอนนี้นะครับ)
โซนต่อมาข้างๆก็อลังการไม่แพ้กัน เป็นโซนวัตถุดิบสดคุณภาพระดับพรีเมี่ยมรวมรวมเอาไว้ทั้ง ซาชิมิปลาทูน่า/หอยเชลล์/ปลาแซลมอน ตักทานได้ไม่อั้น เนื้อทูน่าสับ/ปลาแซลมอนสับ/เนื้อหอยเชลล์สับ/เนื้อปลากระพงปรุงรสสับ/ไข่ปลาแซลมอน/ไข่หอยเม่นและคาร์เวียร์ แต่ที่เห็นนอกจากซาชิมิเนี่ย ไม่ใช่ว่าจะตักได้ตามใจนะครับ เป็นเมนูที่พนักงานจะทำการฉีดวิปครีมปรุงรสเอาไว้ด้านล่าง และให้เราเลือกท็อปปิ้งต่างๆใส่ลงในแก้วค๊อกเทลขนาดเล็ก ใส่ให้อย่างละนิดหน่อย เราพยายามสั่งแต่ของแพงอย่าง ไข่ปลาแซลมอน/ไข่หอยเม่น/คาร์เวียร์ในแก้วเดียว ถามว่าดีไหม ? คุณภาพวัตถุดิบที่ห้องอาหารนี้ถือว่าอยู่ในระดับใช้ได้ครับ ไม่ได้ว่าดีแบบที่ร้านซูชิใช้กันจริงๆ ต้องขอยอมรับว่า 3 วัตถุดิบที่ผมสั่งมา เคยทานที่คุณภาพดีกว่านี้มาก่อน แต่ก็อย่างว่าเป็น "บุฟเฟ่ต์" ต้องทำใจเผื่อก่อนมานิดนึง
น้ำจิ้มต่างๆสำหรับทานคู่กับอาหารทะเล/ซาชิมิก็มีให้เลือกทานแบบครบเครื่อง (ขาดแค่ยอดกระถินกับน้ำพริกเผา) ที่วางข้างกันนั้นเป็นหมูย่างเมืองตรัง มาแบบทั้งตัว โดยที่ทางโรงแรมบอกว่าหมูย่างตัวนี้ ได้นำขึ้นรถกระบะมาจากจังหวัดตรังทุกๆคืนวันศุกร์ ถึงที่นี่เช้าวันเสาร์ โดยวิธีการขนส่งแบบพิเศษ ที่ยังคงความกรอบของหนังหมู กลิ่นของเครื่องเทศ ความชุ่มฉ่ำของเนื้อและมันหมูเอาไว้อย่างเต็มที่ โดยเราสามารถสั่งเชฟได้เลยว่า อยากทานหมูตรงส่วนไหน เลือกทานได้กับน้ำจิ้ม 4 แบบคือ น้ำจิ้มซีฟู๊ด/ซีอิ๊วดำหวาน/บาร์บีคิว/และซอสแอปเปิ้ล นอกจากไลน์ของ สดที่บอกไปเบื้องต้นแล้ว หมูย่างเมืองตรังของที่นี่ก็ถือว่าเป็น The Best ที่มาแล้วต้องทานให้ได้เช่นเดียวกันครับ
ข้างๆกันเป็น Seafood Fideua หรือพาสต้าแบบ Fideua ผัดซีฟู๊ดสไตล์สเปน ที่มีความหอมเนยและเครื่องซีฟู๊ดทานง่าย มาพร้อมเครื่องเคียงอย่างมันฝรั่งทอดและมันฝรั่งอบ ที่เห็นตรงหน้าก้อนสีดำนั่นคือเนื้อส่วนซี่โครงอบแบบรมควัน ด้านในสุกนุ่มสีอมชมพูกำลังดี สามารถสั่งกับเชฟให้ตัดเนื้อส่วนที่ต้องการ ใส่จานของเราได้ทันที เลือกทานได้กับ 4 ซอสคือ/ซอสเห็ด/ซอสพริกไทยสด/ซอสครีมเห็ดทรัฟเฟิลและซอสชีส Gorgonzola มีให้เยอะดีครับ
กลับหลังหันมาก็จะพบกับกุ้งแม่น้ำเผาที่เราตักได้เอง เสิร์ฟมาพร้อมเลมอน/น้ำส้มสายชู-หอมแดง/ซอสเพสโตและน้ำจิ้มซีฟู๊ด ข้างกันเป็นหม้อเครื่องเคียงและซุปทั้ง มันฝรั่งบด/เห็ดผัดเนย/ผักรวมย่าง/ซุปล๊อปสเตอร์เข้มข้น
โซนต่อมาเป็นสลัดพร้อมทาน มีให้เลือกทั้งหมด 4 เมนูได้แก่ Mixed Salad / Tomato Burrata / Fresh Tuna Salad / Chicken Caesar Salad พร้อมมุมขนมปัง ในถาดขนมปังที่เห็นนั้นมีเมนูนึงที่ทางห้องอาหารขอภูมิใจนำเสนอ เป็นขนมปังที่รสเค็ม หอมเนย ใส่มะเขือเทศอบแห้งด้านบน ให้ได้รสเค็ม/มันตัดเปรี้ยวเล็กน้อยช่วยลดความเลี่ยนได้อีกเยอะ ส่วนขนมปังตัวนี้ชื่อว่าอะไรนั้นรบกวนสอบถามกับห้องอาหารโดยตรงนะครับ ผมจำชื่อไม่ได้
มุมต่อมาเป็นชีสและ Cold Cut ที่มีให้เลือกอย่างหลากหลายและเยอะที่สุดเท่าที่เคยเจอมา ทั้ง Brie Cheese / Blue Cheese / Chili Cheese พร้อมองุ่นสด-ถั่ว-ผลไม้แห้งต่างๆสำหรับทานคู่กับชีส Chorizo / Smoked Salmon / Copa / Terrine / Parma Ham / Tuna Confit / White Anchovies In Vinegar พร้อมแตง กวาดอง-มะกอกเขียว-มะกอกดำ สำหรับไว้ทานกับเมนู Cold Cut ที่หลากหลาย ข้างๆกันเป็นเหมือนตู้ขายเนื้อที่โชว์ว่าเป็นเนื้อส่วนใด มาจากที่ไหน และราคาต่อ 1 เสิร์ฟ สอบถามทาง PR เนื้อในตู้นี้ สามารถสั่งเพื่อลิ้มรสเนื้อกันได้ตลอดเวลานะครับ เพราะห้องอาหารนี้มีเมนู A La Carte จำหน่ายด้วยเช่นกัน ซึ่งเนื้อพวกนี้มีอยู่ในเมนูครับผม
ซุ้มต่อมาชื่อว่า The Galician Kraken อ่านรายละเอียดที่ด้านล่างป้ายมันคือ ปลาหมึกยักษ์แอตแลนติกลวกสุก ผัดกับพริกปาปริก้ารมควัน ราดด้วยน้ำมันมะกอกและเกลือ แต่ในซุ้มไม่ได้มีแค่ปลาหมึกยักษ์แอตแลนติกเพียงอย่างเดียว ยังมีหอยตลับ / หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์และกุ้งแม่น้ำตัวใหญ่ ให้เลือกทานเพิ่มเติมสำหรับคนที่ไม่ชอบกินปลาหมึกยักษ์หรือสุขภาพฟันไม่ค่อยดี หากไม่ถูกใจกับรสชาติ Original ที่เชฟจัดมาให้ มีเครื่องและซอสให้เราปรุงรสเพิ่มเติมได้จากตรงด้านหน้า เมื่อสั่งเชฟจะทำการปรุงให้เราสดใหม่จานต่อจาน เดี๋ยวเราสั่งไปนั่งชิมที่โต๊ะกันครับ
สำรวจรายการอาหารต่างๆครบแล้วได้เวลาสั่งอาหาร เริ่มจากนำป้ายเลขที่บนโต๊ะไปสั่งกุ้งล็อบสเตอร์แบบต่างๆ แล้วอาหารก็ถูกเรียงรายเอาไว้เต็มโต๊ะ เริ่มชิมจากเมนูแรก The Famous Scalini Flat Iron สเต็กเนื้อวัวออสเตรเลียย่างจนสุกในกระทะเหล็ก ท๊อปปิ้งด้านบนด้วยฟัวกรา เสิร์ฟพร้อมกับซอสทรัฟเฟิล เนื้อวัวไขมันแทรกน้อย ย่างจนสุกนอก ชมพูอ่อนด้านใน ทานคู่กับฟัวกรารสหอมมัน ได้รสซอสทรัฟเฟิลเค็มอ่อนๆ อร่อยเข้ากันดีครับ
Lamb Tomahawk เนื้อแกะส่วนซี่โครงย่างแบบ Medium Rare ราดด้วยซอสไวน์แดง กลิ่นเนื้อแกะค่อนข้างแรง Seared Magret De Canaro หรือรีซอตโต้เนื้ออกเป็ดผัดกับเห็ดและชีสรมควัน ข้าวเม็ดใหญ่เคี้ยวหนึบ ซอสชีสหอมมัน เพิ่มความสดชื่นด้วยเห็ดและอกเป็ดรมควันนุ่มๆ Grilled Wild Cod ปลาค๊อตตุ๋นในน้ำมันจนสุกนุ่ม มาพร้อมกับกุ้งแม่น้ำและผัก ราดด้วยไวท์ซอสรสเค็มมัน Eggs Caviar สลัดแซลมอนรมควันท๊อปปิ้งด้วยไข่ดาวน้ำและไข่คาร์เวียร์ ได้ทั้งความนุ่ม/มัน/เค็ม/หอมกลิ่นแซลมอนรมควัน/กรุบกรอบผักสลัดเย็นๆในจานเดียว โดยเมนูในชุดแรกนี้อยู่ในเมนู Main Course นอกเหนือจากอาหารในไลน์บุฟเฟ่ต์ แต่สามารถสั่งทานได้ไม่อั้นเช่นเดียวกันครับ
หอยนางรมฝรั่งเศสหรือ fin De Clare รสชาติหวานสดตามมาตรฐานส่วนหอยนางรม Irish รสเค็มน้ำทะเล ทานคู่กับเลมอนหรือน้ำจิ้มซีฟู้ดสไตล์ไทยก็อร่อยเด็ด The Galician Kraken เครื่องทะเลสด ผัดมากับพริกผงปาปริก้ารมควัน มีความเผ็ดเล็กน้อยหอมกลิ่นน้ำมันมะกอก ส่วนหมูย่างเมืองตรัง ยกให้เป็นเมนูที่ดีที่สุดในมื้อนี้เพราะหมักมาถึงเครื่องเทศ ย่างมาหนังกรอบแต่เนื้อด้านในชุ่มฉ่ำ ยิ่งทานคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดหรือซีอิ๊วดำปรุงรสยิ่งเข้ากันสุดๆ และพระเอกของมื้อนี้ก็ได้ถูกปรากฏตัวออกมา นั่นก็คือกุ้งแคนาเดียนล็อบสเตอร์ที่เราสั่งมาทั้งแบบอบชีสและแบบนึ่ง หากถามว่าความสดและความอร่อยเทียบกับที่ไหนได้บ้างก็ขอบอกได้เลยว่าเกรดเดียวกับห้องอาหารโรงแรมอื่นคือเนื้อล็อบสเตอร์ไม่ได้หวานเด้งสู้ฟันเท่ากับกุ้งมังกร 7 สีบ้านเรา เป็นเนื้อกุ้งที่ค่อนข้างนิ่มแต่เคี้ยวเต็มปากเต็มคำ หากใครที่เคยทานกุ้งมังกรแถวภาคใต้มาก่อน แล้วหวังว่ากุ้งแคนาเดียนล๊อปเตอร์เนื้อจะหวานกรอบสู้ฟันมากกว่า คิดผิดนะครับ อีกทั้งมันกุ้งที่หัวเป็นสีเขียว ส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าไม่ค่อยน่ารับประทานเท่าไหร่เลยทานได้ไม่ค่อยเยอะ
ทางห้องอาหารให้เราสั่งเครื่องดื่มในเมนูที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มได้ทุกราคา เลยขอชิมเป็นเมนู Mocktail ในราคา 299++ ที่จำชื่อไม่ได้ 2 เมนู โดยสีฟ้าเป็นไซรัปกลิ่นมินต์มีความเย็นสดชื่น และเปรี้ยวมะนาวเล็กน้อย สดชื่นดีครับ ส่วนอีกเมนูเป็นไซรัปกลิ่นสตรอเบอรี่รสเปรี้ยวหวานซ่าโซดาทานง่าย และสั่งแชมเปญในราคา 1500++ มาลองทานสักแก้ว โดยที่นี่เสิร์ฟแชมเปญยี่ห้อ Louis Perdrier นำเข้าจากฝรั่งเศส รสชาติหวานหอมกลิ่นองุ่นขาวและถังไม้หมักมีความกลมกล่อม ซ่ากำลังดีไม่บาดลิ้น ต่างจาก Sparking Wine ธรรมดาที่เคยทานเยอะเลยครับ ดีงามสุดๆ
อิ่มของคาวแล้วก็ต้องมาต่อกันด้วยของหวาน โดยของหวานที่ห้องอาหาร Scalini นั้นก็ถือว่ามีให้เลือกค่อนข้างเยอะหลากหลายเมนู เริ่มตั้งแต่ไอศครีมมีให้เลือกทานทั้งหมด 4 รสชาติคือ เทรามิสุ/สตรอเบอรี่/น้ำผึ้ง/รัมเรซิ่น ไอศครีมของที่นี่เป็นแบบโฮมเมดทางโรงแรมทำขึ้นเองทั้งหมด รสชาติจึงเข้มข้น หวานกำลังดี ไม่เหมือนที่ไหน จะใส่ถ้วยทานเปล่าๆพร้อมท๊อปปิ้ง หรือทานคู่กับขนมหวานเมนูอื่นๆ ที่ผมจะรีวิวต่อไปนี้ ก็บอกน้องพนักงานได้เลยครับ
ถัดมาเป็น Cheese Berries & Candy Floss เป็นครีมชีสพุดดิ้งในแก้วค๊อกเทลสามเหลี่ยมทรงสูง ราดด้วยซอสเบอรี่รวม จากนั้นเราสามารถเลือกสายไหมสีสันต่างๆ ประดับด้านบนสุดได้ทันที โดยเมนูนี้ทางโรงแรมบอกว่าเป็นที่โปรดปรานของเด็กๆ สายไหมหวานๆ กับครีมชีสรสเปรี้ยวเค็มนิดๆ ตัดความเปรี้ยวด้วยซอสเบอรี่ อร่อยดีครับ
ข้างๆกันเป็น Pineapple Passion Mango Tart ก่อนเสิร์ฟน้องพนักงานจะนำไปอบให้ร้อนๆ ราดด้วยแยมแอพพริคอต รสเปรี้ยวหวาน ตัดกับครีมรสมันและทาร์ตอบกรอบหอมกลิ่นเนย เข้ากันดีครับ ต่อมาเป็นเมนู Warm Brownie บราวนี่สดอบในหม้ออบลมร้อน แกะออกจากถ้วย วางข้างกันด้วยไอศครีมรสชาติต่างๆ ที่เราเลือกได้เอง เนื้อแป้งค่อนข้างแห้งไปหน่อยนึงสำหรับจานนี้ครับ Creme Brulee หรือครีมบูเล่ คัสตาร์ตครีม โรยด้วยน้ำตาล ลนไฟด้านบนสุดให้น้ำตาลไหม้กรอบ เสิร์ฟพร้อมกับแครกเกอร์น้ำตาลกรอบ มะม่วงและสตรอเบอรี่สด ครีมคัสตาร์ตหวานๆ กับน้ำตาลกรอบๆและผลไม้รสเปรี้ยว อร่อยดีครับ ปิดท้ายด้วยผลไม้รวมได้แก่ มะละกอ/แตงโม/แก้วมังกร /แคนตาลูป เป็นอันจบมื้อนี้ หมดเวลา 15.00 น. พอดีครับ โดยรวมแล้วอาหารที่นี่คุณภาพสมราคา ของที่เลือกใช้ในบุฟเฟ่ต์ถือว่าดี แต่อาจจะไม่ค่อยเหมาะกับคนที่ชอบทานอาหารรสจัดเป็นทุนเดิม อย่างผมถือว่าพอทานได้ แต่พอทานไปนานๆแล้ว ไลน์อาหารที่โรงแรมอื่นยังพอมียำ หรืออาหารไทยรสจัดจ้านให้พอแก้เลี่ยนได้บ้าง แต่ที่นี่ไม่มีเลยนอกจากน้ำจิ้มซีฟู๊ด ประมาณ 95% เป็นอาหารตะวันตกหมดเลย ทำให้รู้สึกแรงตก ทานไม่ค่อยคุ้ม ใครที่คิดว่าไม่มีปัญหาเรื่องนี้ หรืออยากลองทานจริงๆ ที่นี่ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีครับ แต่ส่วนตัวให้ 4 ดาวครับผม 🌟🌟🌟🌟

พิกัด : เลขที่ 11 ซอยสุขุมวิท 24 แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110
ห้องอาหาร Scalini บุฟเฟ่ต์ทุกวันเสาร์ 12.30 - 15.00 น. โทร. 02-620-6666
Facebook : https://www.facebook.com/ScaliniBangkok/
อ่านรีวิวแล้วชอบรบกวนช่วยกด Share ให้เพื่อนๆอ่าน
แล้วตามไปกดถูกใจเพจของเราที่นี่ > https://www.facebook.com/FoodAddictsThai/ <
และอย่าลืมกด See First เพื่อที่จะได้ไม่พลาดรีวิวใหม่ๆของเรานะ 😘😘😘