Food Addicts - เสพติดการกิน
รีวิว "Saha Omakase" โอมากาเสะเสิร์ฟเนื้อวัวไทย 16 จานต่อคอร์สแค่ 1,900฿++ บนตึกบันยันทรีสาทรชั้น 53
อัปเดตเมื่อ 21 พ.ค. 2565
วันนี้เราได้รับคำเชิญจาก PR ของร้าน "Saha Omakase" ให้เข้ามารีวิวคอร์สโอมากาเสะเสิร์ฟเมนูเนื้อวัวสายพันธุ์ไทยคุณภาพระดับพรีเมี่ยมเจ้าแรกของโลกมากถึง 16 จานจนอิ่มจุก นั่งเพลิดเพลินได้ตลอด 2 ชั่วโมงเต็มราคาเพียงคนละ 1,900 บาท++ ตั้งอยู่บนตึกชั้น 53 ของโรงแรมบันยันทรีสาทรโดยแต่ละห้องอาหารจะมี Dress Code บังคับใช้แตกต่างกันออกไป ส่วนตัวยกโทรศัพท์สอบถามกับทางเจ้าหน้าที่จนสรุปความว่าสามารถแต่งกายยังไงก็ได้ยกเว้นการสวมรองเท้าแตะสำหรับคุณผู้ชายส่วนคุณผู้หญิงอาจจะของดเรื่องกางเกงขาสั้นมากเป็นพิเศษ วิธีการเข้าใช้บริการแนะนำให้จองก่อนทุกครั้งเพราะรับลูกค้าเพียงรอบละ 8 ท่าน เปิดทุกวันยกเว้นจันทร์เลือกได้ 3 ช่วงเวลาก็คือ 12.00-14.00 น. / 17.30-19.30 น. และ 20.00-22.00 น. หากเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวให้ปักหมุดมาตามแผนที่บนมือถือพร้อมประทับตราตรงหน้าล็อบบี้จอดฟรีสูงสุด 6 ชั่วโมง ถ้าเดินทางด้วยบริการขนส่งสาธารณะลง MRT สถานีลุมพินีฝั่งถนนสาทรใต้แล้วเดินเท้าหรือเรียกแท็กซี่เข้ามาอีกเพียง 600 เมตร สำหรับลิฟต์ตรงขึ้นมาเป็นตัวพิเศษซึ่งอยู่ข้างในสุดโดยสามารถสอบถามกับทางพนักงานโรงแรมได้เกือบทุกคน เมื่อถึงแล้วก็จะพบโถงทางเดินขนาดใหญ่รองด้วยแผ่นหินสีดำสลับกรวดขาวและกำแพงมรกตให้ตรงเกือบสุดทางร้านจะตั้งอยู่ด้านขวามือครับ
เนื่องจากเราเข้ามารีวิวเวลา 20.00 น. ซึ่งค่อนข้างกระชั้นชิดกับลูกค้ารอบที่แล้วพนักงานจึงขอเพิ่มเวลาอีกเล็กน้อยในการจัดเตรียมร้านสักครู่ก่อนจะเปิดให้บริการระหว่างนี้เดินสำรวจส่วนอื่นของห้องอาหารไปพลาง เริ่มต้นจากด้านหน้าสุดจัดเป็นซุ้มทางเข้าด้วยโต๊ะคลุมผ้ากำมะหยี่สีแดงสดพร้อมกล่องไม้ที่สลักชื่อร้านว่า "Saha Omakase" และสัญลักษณ์รูปโคขุนตัวอ้วนเนื้อแน่น ตกแต่งให้สวยงามด้วยขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เปล่าสีสันสดใสนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นกับป้ายมาตรฐาน SHA ของกระทรวงสาธารณสุขวางไว้ติดกันอย่างมีศิลปะ ด้านในมีจุดเด่นที่บาร์ยาวทรงโค้งมนทำด้วยหินอ่อนสีครีมขนาดใหญ่โอบรับกับห้องครัวซึ่งเชฟใช้ในการปรุงเตรียมอาหารต่างๆก่อนเสิร์ฟ โดยหนึ่งรอบสามารถรองรับลูกค้าได้สูงสุดเพียง 8 คนเท่านั้นล้อมรอบด้วยเก้าอี้ดีไซน์สุดหรูมีพนักพิงทำจากแก้วใสหน้าเคาน์เตอร์ อีกโซนเป็นห้องสไตล์ญี่ปุ่นแท้สำหรับรอชมวิวนอกหน้าต่างชั้น 53 และพูดคุยเล่นกันระหว่างรอรอบก่อนกินเสร็จ พื้นรองด้วยเสื่อทาทามิเก้าอี้ใช้เบาะหนานุ่มพร้อมพนักพิงทำจากไม้แข็งแรงทนทานให้นั่งห้อยขาลงไปลงล่างโต๊ะทรงเตี้ยสุดสบายคอยนานแค่ไหนก็ไม่เมื่อย ตอนนี้ทุกอย่างถูกเตรียมเสร็จหมดแล้วไปเข้าประจำที่กันเลยครับผม
มาถึงเราก็ถูกเชิญให้นั่งตรงหน้าเคาน์เตอร์ฝั่งติดห้องครัวเพื่อจะได้ถ่ายรูปเชฟตอนปรุงอาหารจานต่างๆก่อนยกเสิร์ฟได้อย่างชัดเจน แต่ถ้าใครอยากชมวิวมุมที่สวยสุดๆพร้อมเพลิดเพลินกับโอมากาเสะไปด้วยแนะนำว่าตอนจองก็เลือกหน้าบาร์ด้านขวามือติดริมหน้าต่างขนาดใหญ่จะสามารถมองเห็นวิวกรุงเทพได้อย่างเด่นชัดด้านบนของโรงแรมบันยันทรีสาทรชั้น 53 ยามค่ำคืนดวงไฟจากท้องถนนส่องแสงราวกับดาวระยิบระยับ-โรแมนติก กลับมาบนโต๊ะในแต่ละที่นั่งถูกวางด้วยแผ่นรองจาน/ที่รองแก้ว/ตะเกียบ/ผ้าเย็นพร้อมหลอดดูดน้ำเรียงไว้อย่างเรียบร้อยและสำหรับเมนูในวันนี้มีให้ลุยทั้งหมด 16 จานต่อ 1 คอร์สเรียงลำดับการเสิร์ฟตามใบรายการอาหารที่วางไว้ให้ชมข้างหน้า ส่วนเครื่องดื่มสามารถเลือกได้ระหว่างน้ำเปล่าและชาเขียวเติมได้ไม่อั้น ถ้าใครอยากจิบแอลกอฮอล์คุณภาพสูงๆคู่มื้อสุดพิเศษนี้ทางร้านก็มีให้เลือกหลายรายการทั้งไวน์/สาเก/เหล้าบ๊วยกับเบียร์นำเข้าตรงจากต่างประเทศ นอกนั้นยังมีน้ำอัดลม/ชาดอกไม้-ผลไม้ชงร้อน/โซดาแช่เย็นๆกลิ่นผลไม้หอมสดชื่น ราคาเริ่มต้นแก้วละ 50-160 บาทให้เปลี่ยนได้ตามใจอีกด้วย สักพักหัวหน้าเชฟและผู้ช่วยออกมาแนะนำตัวเล็กน้อยแล้วก็เริ่มเตรียมเสิร์ฟเมนูคอร์สกันเลยครับผม
มาเริ่มต้นกันที่ Welcome Drink เพิ่มความสดชื่นช่วยดับกระหายและเปิดประสาทสัมผัสของลิ้นให้พร้อมมากขึ้นตามวัฒนธรรมพื้นฐานของร้านโอมากาเสะทั่วไปด้วย "อัญชันอินฟิวส์" เครื่องดื่มสีน้ำเงินสวยงามดูมีความลึกลับเทลงในแก้วแชมเปญสุดหรูซึ่งใส่ทองคำเปลวเล็กน้อย มีส่วนประกอบหลักเป็นกลีบดอกอัญชันผสมกานพลูกับสาเกญี่ปุ่นรสชาติหวานเสิร์ฟแบบแช่เย็นจัด มาพร้อมขวดไซรัปขนาดจิ๋วคั้นจากผลส้มยูซุแท้ๆแสนเข้มข้นให้รสเปรี้ยวและมีกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร สำหรับวิธีการดื่มเมนูนี้เพียงหยดน้ำส้มยูสุสกัดแบบแรงกล้าลงไปในแก้วทรงสูงเรื่อยๆจนกว่าจะได้ระดับความเปรี้ยวอมหวานลงตัวแบบที่แต่ละคนพึงพอใจ (ส่วนตัวเราขอแนะนำว่าให้เทลงไปจนหมดขวดจะรสชาติลงตัวกำลังดีสุดๆ) มีข้อควรสังเกตอีกเล็กน้อยก็คือน้ำเปลี่ยนกลายเป็นสีม่วงคล้ายๆเครื่องดื่มอัญชันมะนาวของไทยแต่ปรับเปลี่ยนให้ดูหรูหรา-สวยงามเหมาะสำหรับการนำเสนอในร้านโอมากาเสะยิ่งขึ้นครับ
สำหรับจานแรกนั้นไม่มีส่วนประกอบของเนื้อวัวแม้แต่น้อยแต่เป็นการเคลือบลิ้นด้วยความอูมามิอันเข้มข้นพิเศษ เพื่อเปิดต่อมรับรสชาติซึ่งกระจายอยู่ทั่วให้สัมผัสถึงความอร่อยได้อย่างเต็มที่ยิ่งขึ้นพร้อมช่วยเรียกน้ำย่อยให้ออกมาทำงานภายในกระเพาะอาหารกับเมนู "Tomato Confit With Sake" มะเขือเทศสีแดงสดลูกใหญ่กลมโตสวยงามผ่านกระบวนการ "กงฟี" หรือตุ๋นในน้ำมันด้วยอุณหภูมิต่ำใช้เวลานานๆสไตล์ครัวตะวันตกและให้กลิ่นอายความเป็นตะวันออกด้วยการผสมสาเกคุณภาพสูงลงไป มีรสชาติหวานอมเปรี้ยวเคี้ยวชุ่มฉ่ำจากธรรมชาติแท้ซึ่งช่วยเพิ่มความสดชื่นก่อนจะเข้าสู่จานเนื้อวัวต่อมา โดยดอกไม้ประดับสีสันสวยงามกับแผ่นทองคำเปลวที่เห็นทั้งหมดภายในร้านนั้นสามารถกินได้แถมช่วยเพิ่มกลิ่นหอมภายในปากเวลาเคี้ยวอีกด้วย เมนูจานถัดไปมีการตัดให้เป็นเยลลี่ก้อนสี่เหลี่ยมๆแล้วพ่นด้วยประกายทองคำก่อนยกมาเสิร์ฟบนโต๊ะนั่นคือ "Sous Vide Gyu Tan" หรือสตูว์ส่วนลิ้นวัวตุ๋นไวน์แดงผสมพอนซึยูสุซึ่งมีรสชาติเปรี้ยวและกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ เข้ากันได้ดีกับความเข้มข้นของเนื้อวัวสายพันธุ์ไทยโดยจัดเสิร์ฟราวกับพุดดิ้งชิ้นขนาดพอดีคำ ตัวลิ้นวัวตุ๋นมีความนุ่มนิ่มสุดๆเพียงแค่นำลิ้นดุนเล็กน้อยก็ละลายหายไปในปากเพราะเชฟใช้เทคนิค Sous Vide ค่อยๆทำให้สุกภายในถุงสุญญากาศยาวนานถึง 24 ชม.เต็มนั่นเองครับผม
เมนูต่อมาทำจากเนื้อวัวไทยวากิวตัดเสิร์ฟให้เป็นชิ้นสวยงามพอดีคำนั่นก็คือ "Steak S&P" ทางเชฟได้เลือกใช้ส่วนพิคานญ่าเอามาย่างให้พอสุกสวยงามแบบ Medium Rare ปรุงรสด้วยเกลือจากเทือกเขาหิมาลายันอันอุดมไปด้วยแร่ธาตุต่างๆมีสีชมพูอ่อนใสซึ่งเป็นชนิดดีสุดในโลก จึงได้ความเค็มสุดกลมกล่อมไม่บาดลิ้นจนรบกวนรสชาติอันแท้จริงของตัวสเต๊ก เพิ่มความเผ็ดร้อนและหอมสดชื่นไม่เหมือนใครด้วยพริกไทยคุณภาพสูงของเมืองกัมปอตนำเข้าจากประเทศกัมพูชา ปิดท้ายด้วยซอสแบล็คทรัฟเฟิลสับละเอียดหมักในน้ำมันมะกอกสูตร Extra Virgin มีกลิ่นอันสะท้อนสไตล์ตะวันตกผสมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้ากับเนื้อส่วนมีไขมันน้อยแต่รสชาติเข้มข้นได้อย่างลงตัวดีสุดๆ จานถัดไปยังคงเสิร์ฟสเต๊กแต่ให้กินคู่ซอสนั่นก็คือ "Beef Steak Black & White Mayo" ซึ่งเชฟจะเลือกส่วนที่ดีสุดในแต่ละวันโดยเราได้ลอง Rump หรือสะโพกชั้นไขมันน้อยแต่ให้ความหอมนุ่มเคี้ยวละมุนตามฉบับไทยวากิวย่างแค่พอสุกระดับเดียวเหมือนจานก่อนๆ เสิร์ฟพร้อมรากโกโบเส้นทอดกรอบชวนเคี้ยวเพลินมีกลิ่นกับรสชาติเฉพาะตัวให้สัมผัสคล้ายๆเฟรนซ์ฟรายส์จิ้มซอสตัวแรกสีดำสนิททำจากงาดำคั่วบดส่วนซอสสีขาวทำจากไวท์มิโสะ โดยวิธีการทานก็คือให้ชิมสีดำต่อด้วยสีขาวสุดท้ายให้เอาทั้งสองมาผสมกันได้ความหอมมันละมุนที่แตกต่างแต่อร่อยลงตัวครับ
เมนูถัดไปถูกนำมาวางบนโต๊ะราวกับศิลปะแห่งจานอาหารก็คือ "Tenderloin Maki, Wasabi And Shoyu" ทางหัวหน้าเชฟได้ไอเดียมาจากการทำมากิซูชิของประเทศญี่ปุ่น โดยเลือกใช้เฉพาะส่วนสันในมีไขมันสวยงามของวัวสายพันธุ์ชาร์โรเล่ส์แล่ตามแนวยาวของกล้ามเนื้อเรียงกันให้เป็นเส้นยาวอย่างสวยงาม คลุกเคล้าถ่านชาร์โคลสีดำทำจากกากมะพร้าวเผาอันมีคุณสมบัติที่ดีต่อลำไส้มนุษย์และห่อหุ้มด้วยสาหร่ายแผ่นโนริเหมือนภัตตาคารซูชิชั้นนำ ตัดแต่งเป็นชิ้นให้สวยงามทานพร้อมซอสสีน้ำตาลทำจากโชยุนำมาเคี่ยวกับส่วนผสมพิเศษให้มีสัมผัสเหนียวข้นเล็กน้อยคล้ายซอสราดบนขนมดังโงะ ส่วนสีเขียวอ่อนข้างๆกันนั้นทำจากวาซาบิขูดสดปรุงตามสูตรลับของทางหัวหน้าเชฟให้มีรสชาติเผ็ดฉุนอมหวานนุ่มนวลภายในปาก แล้วตกแต่งปิดท้ายด้วยการวางแผ่นแป้งกรอบบางคล้ายขนมเซมเบ้อบของประเทศญี่ปุ่นสีแดงสดใสสวยงามให้ความรู้สึกเหมือนปะการังใต้ท้องทะเลกับรากบัวสไลด์แผ่นบางชุบแป้งทอดให้มีหลายเฉดสีภายในจานเดียวกัน สำหรับวิธีการทานนั้นทางเชฟแนะนำว่าให้เริ่มทานแผ่นแป้งและรากบัวทอดก่อนจากนั้นค่อยๆเอาตะเกียบคีบเนื้อวัวในมากิซูชิออกมาจิ้มซอสเพื่อชิมรสชาติทีละตัว สุดท้ายให้ปาดส่วนผสมทั้งหมดที่มีในจานรวมกันพร้อมสาหร่ายหุ้มเปลือกข้างนอกในคำสุดท้ายก็จะได้รับความอร่อยครบถ้วนไม่ขาดตกบกพร่องครับ
จานต่อมาดูมีสีสันสดใสและลำดับขั้นตอนในการกินที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นก็คือ "Saha Trio" โดยทางเชฟได้นำไอเดียจากอาหารฝั่งประเทศแถบตะวันตกมาเป็นแรงบันดาลใจ โดยมีทั้งหมด 3 องค์ประกอบหลักๆเริ่มคำแรกกันด้วยแตงโมสดไร้เมล็ดเนื้อแน่นท็อปปิ้งด้วยยูสุมาโยเสิร์ฟแบบเย็นสดรสชาติหวานมันอมเปรี้ยวบวกกับความฉ่ำของน้ำในผลไม้ตามธรรมชาติช่วยรีเฟรชต่อมรับรสให้พร้อมรับความอร่อยใหม่อีกครั้ง คำต่อไปเป็นส่วนสันในที่คัดเฉพาะแกนกลางจากวัวชาร์โลเล่ห์ซึ่งมีเพียงน้อยนิดย่างให้พอสุกแค่ระดับ Medium Rare ในกระทะร้อนๆคลุกด้วยซอสแมนสึยุผสมทรัฟเฟิลโรยงาคั่วและวาซาบิมาโยอีกนิดหน่อย จุดเด่นของเนื้อส่วนนี้อยู่ตรงความนุ่มละลายในปากชวนให้ฝันหวานแถมยังได้รสชาติอันเข้มข้นเคล้ากับซอสต่างๆซึ่งให้ประสบการณ์อันแปลกใหม่ภายในปาก สำหรับคำสุดท้ายก็คือมะม่วงสุกด้านบนบีบยูสุมาโยรสชาติหวานอมเปรี้ยวหอมสดชื่นไม่ซับซ้อนช่วยตัดความรุนแรงภายในปากทั้งหมดรวมถึงเพิ่มประสาทสัมผัสของลิ้นให้พร้อมลุยต่อ ถือเป็นเมนูที่เริ่มต้นแล้วจบได้อย่างสวยงามสมกับหน้าตามากครับ
ชามต่อไปเป็นซุปใสที่ยกเสิร์ฟราวกับงานศิลปะชั้นสูงของประเทศญี่ปุ่นนั่นก็คือ "Beef Broth" หรือน้ำต้มจากกระดูกวัวสูตรเข้มข้นพิเศษซึ่งใช้เวลาเคี่ยวยาวนานกว่า 14 ชม. มาในธีมของธรรมชาติโดยจำลองให้คล้ายอ่างบัวซึ่งหัวหน้าเชฟได้ใส่ใจในรายละเอียดต่างๆเพื่อประกอบเป็นชามนี้ เริ่มต้นด้วยเทคนิคการทำบราวน์สต๊อกของครัวยุโรปผสมผสานอิชิบันดาชิของฝั่งแดนอาทิตย์อุทัย จนได้ความหอมละมุนของวัวไทยวากิวกับปลาโอตากแห้งได้อย่างเต็มเปี่ยมในทุกๆคำที่ซด ตกแต่งให้สวยงามด้วยเห็ดแชมปิญองสีน้ำตาลนำมาปอกเปลือกให้ทรงกลมคล้ายลูกชิ้นวัวและต้นหอมญี่ปุ่นนำมาสไลด์ยาวให้เหมือนต้นหญ้าส่วนผักแว่นแก้วก็นำมาลอยด้านบนสุดเปรียบเสมือนใบบัวในอ่างน้ำหน้าบ้านสมัยก่อน โดยเบสเข้มข้นชามนี้ใช้เป็นพื้นฐานสำหรับการต่อยอดเพื่อปรุงจานอื่นๆทั้งเกรวี่ซอส/เรดไวน์ซอสและพอร์ทไวน์ซอส ส่วนอิชิบันดาชิใช้ในการทำซุปสาหร่ายทานคู่กับข้าวผัดมันเนื้อไฟลุกซู่ซ่าซึ่งเราจะได้ชิมต่อไปครับ
สำหรับจานถัดไปทางหัวหน้าเชฟอยากเน้นธรรมชาติของเนื้อวากิวสายพันธุ์ไทยให้เข้มข้นเด่นชัดภายในปากมากยิ่งขึ้นเลยนำมาปรุงเป็น "Fried Meatball" หรือลูกชิ้นเนื้อสับชุบเกล็ดขนมปังทอดกรอบทำจากเนื้อวัวซึ่งชั้นไขมันแทรกไม่เหมือนกัน 3 ชิ้น บดละเอียดรวมกันตามอัตราส่วนพิเศษโดยทางร้านคิดค้นขึ้นเองเพื่อให้ได้ทั้งรสชาติสัมผัสและความชื้นตามแบบที่ต้องการปั้นเป็นก้อนกลมพอดีคำทอดในน้ำมันร้อนจัดเหมือนกิวคัตสึ จัดเสิร์ฟลงบนจานแก้วใสรองด้วยหัวหอมใหญ่ผัดจนสีคาราเมลรสหวานอูมามิและซอสโฮมเมดสโมคบาร์บีคิวใส่เหล้าแม่โขงกับซุปคัตสึโอะ ตกแต่งให้สวยงามด้วยแผ่นแป้งทอดบางกรอบสีดำที่ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังใส่หมวกปีกกว้างทรงยุโรป ส่วนเวลาทานเชฟแนะนำให้กินทุกอย่างพร้อมกันในคำเดียว ได้ครบทั้งความกรอบนอกนุ่มในของไขมันวัวแตกระเบิดฉ่ำน้ำไหลเต็มปากตัดเลี่ยนด้วยหัวหอมใหญ่ผัดเคล้าซอสทำเองรสชาติหวานอมเปรี้ยวหอมสมุนไพรรมควันได้ลงตัวดีมากครับ
เมนูก่อนหน้านี้ยังไม่ทันจะกินเสร็จทางเชฟก็เริ่มปรุงจานถัดไปนั่นก็คือ "Mekong-Aged Steak, Gravy And Miso Mashed Potatoes Miso and Beet Root Puree" ชื่อยาวเหยียดแต่หน้าตาตอนเสิร์ฟก็ออกมาดูดีอย่างที่คาดหวังเอาไว้ โดยทางร้านได้เลือกเนื้อวัวสายพันธุ์ไทยวากิวเฉพาะส่วนพิคานญ่าเอาไปเวทเอจกับวิสกี้ยี่ห้อแม่โขงซึ่งก็เป็นของไทยจึงเข้ากันได้ดีสุดๆ จนได้รสชาติหวานล้ำลึกผสมกลิ่นของเหล้าหอมละมุนย่างพอสุกแบบ Medium Rare ตัดแบ่งชิ้นขนาดพอดีคำราดด้วยเกรวี่ซอสซึ่งนำมาจากเบสของบราวน์สต็อคที่ถูกทำให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้นเสิร์ฟพร้อมมันบดผสมมิโสะขาวและซอสบีทรูธพิวเร่ปาดภายในจานเหมือนร้านอาหารสไตล์ตะวันตก ตกแต่งให้ดูสวยงามยิ่งขึ้นด้วยต้นหอมญี่ปุ่นทาน้ำมันทรัฟเฟิลเบิร์นไฟบวกแผ่นแป้งทอดบางกรอบสีแดงตรงกลางมันบด ช่วยเพิ่มสัมผัสอันแตกต่างเวลาเคี้ยวไปจนถึงกลิ่นหอมซึ่งทำให้แลดูสมดุลไม่หนักแน่นมากจนเกินไปเหมือนกับเมนูที่ผ่านมาครับผม
หลังจากนั่งทานเมนูเนื้อวัวไทยวากิวรสชาติเข้มข้นติดต่อกันมายาวนานหลายจานก็พักเบรกลิ้นให้พร้อมก่อนเข้าสู่ช่วงหลังของคอร์สนี้กันด้วย "Ponzu Yuzu With Somen" โดยเชฟตั้งใจนำมาเสิร์ฟเพื่อตัดเลี่ยนไขมันและช่วยเพิ่มความสดชื่นรีเฟรชราวกับได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้งนึง ใช้เส้นโซเมนนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นต้มพอสุกกำลังดีมีสัมผัสเหนียวนุ่มสู้ฟันเคี้ยวแล้วไม่เละ ราดด้วยซอสพอนสึดองยูสุรสเปรี้ยวเค็มกลมกล่อมแช่เย็นจัดๆสุดท้ายเอาเปลือกส้มสดกลิ่นหอมสดชื่นขูดลงไปเป็นผงแบบไม่ยั้งมือ ส่วนวิธีการทานเพียงคลุกเคล้าทุกอย่างในชามจนเข้ากันแล้วสูดเส้นเข้าไปแรงๆพร้อมอากาศแบบร้านราเมนญี่ปุ่นเพื่อรับความอร่อยขั้นสูงสุด ส่วนเครื่องเคียงต่างๆทั้งหัวไชเท้าญี่ปุ่นขูดฝอย/ต้นหอมญี่ปุ่นซอยและวาซาบิดองเองสูตรโฮมเมดแนะนำว่าค่อยเทผสมหลังจากผ่านไปครึ่งชามช่วยเพิ่มความเผ็ดฉุนจี๊ดจ๊าดขึ้นจมูก ทำให้ชามนี้สามารถสัมผัสความอร่อยสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆได้ถึงสองรูปแบบไม่เบื่อแน่นอนครับผม
เริ่มต้นกันอีกครั้งด้วยจานอาหารไทยที่ถูกเชฟรังสรรค์ออกมาให้หน้าตาแปลกใหม่ไม่เหมือนใครก็คือ "Smoked Beef In 2-Way Sauce" เป็นเนื้อวากิวสายพันธุ์ไทยส่วนเซอร์ลอยด์หรือสันนอกไขมันน้อยแต่เคี้ยวสนุกนำไปย่างพอสุกแบบ Medium Rare ตกแต่งให้สวยงามด้วยพริกกับใบกะเพราทอด เสิร์ฟพร้อมซอสพิเศษสองชนิดได้แก่ 1. หัวกะทิเข้มข้นราดน้ำมันสกัดจากต้นหอมญี่ปุ่นสุดหอมมัน และ 2. พริกแกงสีแดงทำจากเครื่องสมุนไพรสดสูตรโฮมเมดนำไปตีอัดเข้ากับอากาศผสมไขมันของวัวให้ขึ้นฟูมีมวลน้ำหนักเบาบางลง เพิ่มประสบการณ์อันน่าตื่นตาด้วยการรมควันจากไม้ถั่วพิแคนครอบแก้วใสทรงครึ่งวงกลมก่อนยกเสิร์ฟ สำหรับวิธีการทานเชฟแนะนำว่าให้ใช้ตะเกียบแตะซอสชิมทีละสูตรก่อนแล้วค่อยนำสเต๊กเนื้อย่างตรงกลางปาดรวมส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากันก่อนจะนำเข้าปากในคำสุดท้าย ถึงจะบอกว่าคือแกงแดงแต่เมื่อได้ชิมครบถ้วนทุกองค์ประกอบแล้วมีรสชาติกลิ่นหอมคล้ายมัสมั่นเนื้อ ถือว่าเป็นการเล่นกับประสาทสัมผัสของลูกค้าทั้งอร่อยชวนให้ประทับใจและดูมีชั้นเชิงในการนำเสนอไปอีกแบบนึงครับผม
ชำระล้างความเข้มข้นของพริกแกงไทยในปากด้วยเมนูจานต่อไปก็คือ "Cucumber Salad" หรือสลัดแตงกวาเย็นญี่ปุ่นสไตล์อิซากายะแบบที่เสิร์ฟในร้านแถวสีลม-ทองหล่อ และเนื่องจากคอร์สนี้เป็นโอมากาเสะเนื้อทางหัวหน้าเชฟจึงได้เพิ่มไทยวากิวส่วนเซอร์ลอยด์หรือสันนอกโดยผ่านการซูวีหลายชั่วโมงจนสุกนุ่มสีอมชมพูหั่นเสิร์ฟชิ้นพอคำทรงสี่เหลี่ยมลูกเต๋าขนาดเดียวกับแตงกวาญี่ปุ่นซึ่งสัมผัสกรุบกรอบคว้านเมล็ดตรงกลางออกหมดแล้ว คลุกรวมกันในน้ำสลัดสูตรโฮมเมดรสชาติเค็มหวานอมเปรี้ยวสุดกลมกล่อมอุณหภูมิเย็นสดชื่นอบอวลกลิ่นน้ำมันงา ตกแต่งสีสันให้สวยงามยิ่งขึ้นด้วยไข่ปลาแซลมอนสีส้ม/งาขาวคั่วสีขาวและพริกชี้ฟ้าสีแดงลงในแก้วค็อกเทลสุดหรูดูแบบมีระดับสำหรับจานต่อไปเป็นเมนูที่ถูกดัดแปลงจากอาหารไทยก็คือ "Beef Prik Nam Pla" ใช้ส้มเบิร์นไฟราดยูสุเจลวางคู่กับเนื้อไทยวากิวส่วนเซอร์ลอยด์ย่างพอสุกแค่ระดับ Rare ราดน้ำปลาหวานสูตรพิเศษของทางร้านแล้วตกแต่งด้วย พริกแห้งหั่นฝอย เพิ่มความเผ็ดร้อนแทนพริกปกติด้วยต้นอ่อนผักกาดที่ปลูกภายในประเทศมีฉายาว่า "วาซาบิไทย" สำหรับวิธีการทานเชฟแนะนำว่าให้ชิมความฉุนของต้นอ่อนผักกาดก่อนแล้วค่อยๆรวมวัตถุดิบทุกอย่างในจานใส่ปากแบบเมี่ยงทันที ได้ครบทุกรสชาติตามแบบฉบับอาหารไทยโบราณแท้ๆแต่ให้กลิ่นค่อนข้างซับซ้อนและมีความทันสมัยมากกว่า ถ้าจะให้เปรียบเทียบในภาพรวมคล้ายกับซอยจุ๊อีสานแค่เปลี่ยนความขมขี้เพลี้ยเป็นผลส้มเบิร์นไฟแทนครับ
จัดหนักกันอีกครั้งกับเมนูรสชาติเข้มข้นผสมไขมันชั้นดีปริมาณเยอะพิเศษนั่นก็คือ "Hamburg With Seared Foie Gras" หรือสเต๊กแฮมเบิร์กท็อปปิ้งฟัวกราส์ย่าง เริ่มต้นกันด้วยตัวเนื้อบดย่างปั้นก้อนกลมที่เห็นในจานทำจาก 3 ส่วนซึ่งมีความเข้มข้นชุ่มฉ่ำคล้ายๆมีทบอลก่อนหน้านี้ ส่วนฟัวกราส์นั้นทางร้านตัดเสิร์ฟมาชิ้นใหญ่-หนาสะใจแล้ววางบนกระทะให้พอสุกกรอบนอกฉ่ำข้างในวางบนสเต๊กอย่างสวยงาม มาพร้อมซอสต่างๆซึ่งเราเคยทานมาตั้งแต่ต้นทั้งหมดได้แก่บีทรูธพิวเร่/สโมคบาร์บีคิว/ยูสุมาโย/วาซาบิ สำหรับวิธีการทานนั้นเชฟจะให้เราชิมซอสทั้ง 4 ตัวภายในคำเดียวกัน เมื่อลองกินแล้วจะได้ความอันแปลกใหม่โดยแต่ละคนก็ได้จินตนาการรสชาติแตกต่างกันออกไปมากมายให้ได้ถกเถียงกันทั้งแกงไทย/แกงอินเดีย/ผลไม้/ขนมหวานหรือไอศครีม (ส่วนตัวมีความรู้สึกเหมือนกำลังกินผงบ๊วยละลายในปาก) โดยจานนี้ใครได้ลองแล้วเป็นอย่างไรนั้นไม่สำคัญเท่าเนื้อบดกับฟัวกราส์คือดีชวนประทับใจสุดๆครับ
สำหรับใครที่เคยคิดว่ามาทานโอมากาเสะแล้วได้แค่ความสวยงามกับรสชาติดีแต่ไม่อิ่มท้องต้องเปลี่ยนความคิดใหม่กับเมนู "Beef Tallow Fired Rice" หรือข้าวผัดมันเนื้อไทยวากิว โดยทางเชฟเลือกใช้เมล็ดข้าวหอมมะลิเรียวยาวสวยงามเอามาผัดปรุงรสชาติให้เค็มหวานกลมกล่อมหอมกลิ่นไหม้กระทะเหมือนชาฮั่งของญี่ปุ่น ท็อปปิ้งก่อนยกเสิร์ฟด้วยไข่ปลาแซลมอน/คัตสึโอะบูชิและต้นหอมญี่ปุ่นซอยเป็นเส้นๆ วางพร้อมน้ำซุปใสเบสจากดาชิผสมสาหร่ายวากาเมะใส่เปลือกส้มยูสุขูดละเอียดลงไปจำนวนมากรสชาติเค็มกลมกล่อมเปรี้ยวนิดๆมีกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ สำหรับชามนี้มีวิธีการทานทั้งหมด 3 รูปแบบก็คือ 1. ตักข้าวผัดมันเนื้อหอมๆเข้าปากแล้วค่อยซดน้ำซุปใสตาม 2. เทซุปลงไปบนข้าวผัดเพื่อทานแบบข้าวต้มญี่ปุ่น และ 3. ซึ่งเชฟขอแนะนำให้ลองที่สุดคือกินข้าวผัดอย่างเดียวครึ่งชาม จากนั้นใส่ซุปลงไปเพื่อเพิ่มความสดชื่นเหมือนเอา 2 วิธีแรกมารวมกัน โดยสามารถขอเติมเพิ่มได้อีกเรื่อยๆจนกว่าจะรู้สึกพึงพอใจมีสถิติบันทึกเอาไว้สูงสุดคือ 7 ชาม สำหรับใครที่กินจุมากๆก็ไม่ต้องกลัวหมดเพราะในครัวจะผัดให้ใหม่พร้อมเสิร์ฟตลอดเวลาซึ่งอร่อยกว่าเดิมมากๆ ส่วนตัวเติมไป 3 ชามก็อิ่มแน่นแล้วปิดท้ายด้วยขนมหวานกันเลยครับ
สำหรับจานสุดท้ายในคอร์สนี้เสิร์ฟเป็นขนมหวานสุดพิเศษอย่าง "Daily Sake Dessert" ซึ่งเชฟได้นำสาเกไปตีกับเจละตินยกไปแช่เย็นให้เหมือนวุ้นเกล็ดน้ำแข็งราดซอสส้มยูสุผสมรัมซอส โดยให้แบ่งทาน 3 ส่วนคือ 1. คำแรกตักเจลลี่สาเกกับซอสส้มยูสุจะได้อารมณ์เหมือนคากิโกริของญี่ปุ่น 2. ตักพร้อมกับรัมซอสกลิ่นวิสกี้อ่อนๆคล้ายขนมทีรามิสุที่ไม่ผสมเอสเปรสโซ่ลงไปจากฝั่งตะวันตก 3. ผสมทุกอย่างรวมกันจะได้รสชาติคล้ายนมเปรี้ยวรสส้มเย็นจัดอร่อยชื่นใจสุดๆครับ มื้อนี้ผมมาทานกับแฟนสองคนลงมติกันแล้วว่าร้าน "Saha Omakase" ถือว่าเป็นโอมากาเสะอีกแห่งซึ่งคู่ควรแก่มาเปิดประสบการณ์ความอร่อยใหม่ของสายเนื้อตัวจริง โดยยกเอาข้อเด่นของวากิวสายพันธุ์ไทยมาผสมเทคนิคขั้นสูงหลากหลายศาสตร์ของหัวหน้าเชฟออกมาถึง 16 เมนูโดดเด่น แต่จ่ายเพียงคนละ 2,223 Net. (เฉลี่ยรายการละไม่ถึง 140 บาท) ให้ปริมาณอิ่มจุก-คุ้มราคาแบบนี้รับไป 5 ดาวเต็มเลยครับผม🌟🌟🌟🌟🌟

พิกัด : โรงแรมบันยันทรี ชั้น 53 เลขที่ 21/100 ถนนสาทรใต้ แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120
เปิดให้บริการวันละ 3 รอบ (หยุดทุกจันทร์) คือ 12.00-14.00 น. / 17.30-19.30 น. และ 20.00-22.00 น. (อาจมีการปรับเปลี่ยนตามนโยบายของรัฐบาล) สำรองที่นั่งก่อนใช้บริการในร้านได้ที่ Line : @sahaomakase
‼สำหรับใครที่มีประวัติแพ้อาหารรบกวนแจ้งพนักงานก่อนเพื่อทางเชฟจะได้ปรับเปลี่ยนให้ตามความเหมาะสม‼
โทร. 089-202-1900 Facebook : https://www.facebook.com/SAHAOmakase
สำหรับใครที่อยากทราบประวัติของหัวหน้าเชฟร้าน "Saha Omakase" เราได้รวบรวมเอาไว้ดังต่อไปนี้
หัวหน้าเชฟมีชื่อว่า "สิทธิกร ตั้งพิทักษ์ไพบูลย์" มีประสบการณ์ทำงานในครัวร้านอาหารและโรงแรมต่างๆรวม 10 ปี
โดยเมนูในคอร์สทั้งหมดจะไม่ค่อยเปลี่ยนไปจากในบทความรีวิวนี้มากนัก เนื่องจากเนื้อวัวสายพันธุ์ไทยวากิวนั้นเป็น
วัตถุดิบที่สามารถหาทานได้ตลอดทั้งปี ยกเว้นว่ามีเทรนด์หรือไอเดียใหม่อาจจะนำถูกมาปรุงยกเสิร์ฟในอนาคตครับ
อ่านรีวิวแล้วชอบรบกวนช่วยกด Share อวดเพื่อนๆของคุณ
แล้วตามไปกดถูกใจเพจของเราที่นี่ > https://www.facebook.com/FoodAddictsThai/ <
และอย่าลืมกด See First เพื่อที่จะได้ไม่พลาดรีวิวใหม่ๆของเรานะ 😘😘😘