Food Addicts - เสพติดการกิน
รีวิวท่องเที่ยวเกาหลีใต้ ไปกับทัวร์โปรไฟไหม้ 5 วัน 3 คืน ฉบับผู้เริ่มต้นเดินทาง (ตอนที่ 1 วันแรก)
อัปเดตเมื่อ 15 มิ.ย. 2564

"ประเทศเกาหลีใต้" ทำให้เรานึกถึงเหล่าโอปป้า หรือซีรีย์ชื่อดังที่ได้รับความนิยมในบ้านเรา หวังว่าจะไปกินของอร่อยๆแบบในละครบ้านเขาบ้าง แต่ว่าปัญหาผีน้อยหนีเข้าไปทำงานบ้านเขาก็เยอะซะเหลือเกิน จะไปเที่ยวเองก็กลัวไม่ผ่าน ต.ม.ไหนจะเงินค่าตั๋ว ค่าที่พักต่างๆก็เสียไปแล้ว จะยอมเสี่ยงหรือจ่ายเพียงเล็กน้อยเพื่อไปกับทัวร์โปรแกรมไฟไหม้ ได้ราคาถูกเพื่อเปิดทางในการเข้าประเทศครั้งถัดไป เราจะไม่เสี่ยง ไปกับทัวร์ก่อนแล้วกัน แล้วค่อยมากันเองอีกรอบ

วันนี้เราเลือกโปรแกรมทัวร์ไฟไหม้ โดยมีหลากหลายบริษัทให้เลือก ในรีวิวนี้จะไม่บอกว่าเราไปทัวร์ไหน เพราะจะมีการแวะจุดซื้อของต่างๆ ซึ่งราคานั้น....... ไม่พูดดีกว่าเนอะ เอาเป็นว่ารายการสินค้าอื่นๆนอกรายการทัวร์ราคาถูกกว่าเยอะ วันนี้เราจะบอกแหล่งซื้อของราคาถูก แต่ถ้าหากลองคิดรวมราคาค่าเดินทางไปเอง ไม่ว่าจะเป็นตั๋วเครื่องบินไป - กลับ ราคารถรถเดินทาง ราคาค่าอาหาร แลกกับเวลาเที่ยวน้อยลงและจุดบังคับลงรถที่ไม่ได้บังคับว่าต้องซื้อก็ถือว่าโครตคุ้มค่าครับ มาเริ่มกันเลยดีกว่า
ก่อนอื่นต้องเริ่มจากการเตรียมตัว แนะนำว่าให้ดูโปรแกรมทัวร์ที่อยากไปจากบริษัททัวร์ล่วงหน้า จัดกระเป๋ารอไว้ สำหรับผมลางานล่วงหน้า แต่บอกเจ้านายไว้แล้วว่าอาจจะได้ไปหรือไม่ไป อันนี้แล้วแต่บริษัทนะครับว่าจะยืดหยุ่นอย่างไรได้บ้าง จากนั้นรอประมาณอาทิตย์สุดท้ายก่อนเดินทาง บริษัททัวร์จะเริ่มประกาศราคาไฟไหม้แล้ว ทำการจองได้เลยครับ ก่อนจะจองอย่างลืมเช็ค Passport ว่ามีอายุเหลือมากกว่า 6 เดือนหรือไม่ หาแหล่งแลกเงินที่ราคาดีที่สุดหรือตามเรทที่เราพอใจ ทำการโทรแจ้งผู้ให้บริการบัตรเครดิตว่าจะมีการใช้งานนอกประเทศ อย่าลืมทำการจองซิมโทรศัพท์ล่วงหน้าก่อนไปใช้งานจริงที่นั่น เราแนะนำของเจ้านี้ครับ ราคาถูกสุดแล้ว แต่ต้องจองล่วงหน้าไปก่อน ที่ลิงค์นี้
https://www.kkday.com/th/product/7423
ทำการกดซื้อ และจะได้รับรหัสมาสำหรับไปรับซิมที่เคาท์เตอร์สนามบิน มีพนักงานใส่ซิมและทำการตั้งค่าให้เสร็จสรรพ สะดวกมากครับ เพราะถ้าไม่จองจากไทยไปก่อน ราคาเน็ตที่เกาหลีใต้สำหรับนักท่องเที่ยวนั้นแพงมาก 10,000-15,000 วอน ต่อวันแล้วแต่ผู้ให้บริการ คิดเป็นเงินไทยราคา 300 กว่าบาทเลยแหละ

วันเดินทางจริงโปรแกรมทัวร์จะบอกว่า 5 วัน 3 คืน คือไป Check in ตั้งแต่ 3-4 ทุ่ม ออกเดินทางจริง ตี 1 ตี 2 นั่นแหละครับ ถึงเกาหลีเช้าพอดี โดยจะมีเจ้าหน้าที่ทัวร์คอยตอนรับอยู่ที่จุดนัดพบพร้อมเก็บค่าทิปไกด์ 40,000 วอน คิดเป็นเงินไทย 1,200 บาท สอบถามมาว่าทำไมเก็บตรงนี้ก่อน ไม่เหมือนทัวร์อื่น ได้คำตอบว่าหากจ่ายที่เกาหลีต่อหน้าไกด์ชาวเกาหลี เขาจะไม่ค่อยพอใจทำให้ต้องจ่ายที่นี่ให้เสร็จก่อน ก็เหมือนบวกค่าทัวร์ไปในตัวนั่นแหละ มีทุกทัวร์ครับ ส่วนสายการบินนั้นก็จะถูกปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสม โดยครั้งนี้ผมได้เดินทางโดย Eastar Jet ที่สนามบินสุวรรณภูมิ โดยเครื่องบินจะเป็นที่นั่งแบบ 3-3 สำหรับผู้ชายตัวสูง 177 หนัก 140 อย่างผม ถือว่านั่งสบายครับ มีพื้นที่หน้าเหลือนิดหน่อย สอดขาลงไปเบาะด้านหน้าไป เดินทาง 5 ชม. ก็ถึงเกาหลีใต้แล้วครับ แอร์สวยแต่งตัวแฟชั่นนิดๆสไตล์เกาหลี ไม่มีอาหารให้แต่ก็มีจำหน่าย โดยรับเป็นเงินวอน เงินเยน และดอลล่า พิเศษหน่อยคือมีน้ำเปล่าเสิร์ฟให้ฟรีบ่อยๆ แอร์ไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษกันสักเท่าไหร่แต่พอฟังเราและตอบโต้ได้ โดยรวมแล้วก็ดีครับ บริการใช้ได้ นั่งสบาย ครั้งต่อไปถ้าจะไปเกาหลีใต้อีกแล้วสายการบินนี้ลดราคาก็จะเลือกใช้บริการครับ

เวลาที่เกาหลีใต้นั้นเดินเร็วกว่าประเทศไทย 2 ชม. ทำการปรับเวลาให้เรียบร้อยนะครับ เมื่อไปถึงสามารถใช้ Wifi ของสนามบินได้ฟรี โดยไม่ต้องลงทะเบียนใดๆ สะดวกมาก ต.ม. ของที่นี่เรานึกว่าจะตรวจโหด ซึ่งผมเคยเดินทางไปบาหลี กับสิงคโปร์มาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว เลยผ่านได้สบายมากครับ ไม่ถามไม่พูดอะไรเลย เปิดหน้า Passport นิดหน่อย ปั้มแล้วผ่านไปเลย ไปรับกระเป๋าเสร็จ ก็ไปรวมตัวกันไปรับซิมที่จองที่เคาท์เตอร์เปิดอินเตอร์เน็ตพร้อมเดินทางแล้วครับ
อากาศที่เกาหลีช่วงที่ผมไปเดือนกันยายน เป็นหน้าฝนต้นหนาวแล้วครับ ฝนที่นี่แปลกมาก ตกเม็ดเล็กเป็นฝอยๆ พอเย็นชุ่มฉ่ำแต่ไม่เปียกมาก อากาศประมาณ 20-25 องศา เหมาะแก่การเที่ยวมากครับ ออกมารอรถบัสหน้าทางออกผู้โดยสารขาออก รถบัสของเราคันใหญ่มากครับ เพราะใบรายชื่อในทัวร์นั้นมีทั้งหมด 24 คน แต่ผ่านมาจริงๆแค่ 15 คนเท่านั้นเอง ส่วนสาเหตุคงไม่ต้องพูดนะครับว่าเพราะอะไร.... เมื่ออยู่บนรถแล้วไกด์จะทำการแนะนำตัวให้ทุกคนทราบ และสอบถามชื่อทุกคน ถ้าหากทริปนี้คุณอยากไปเที่ยวแบบไม่บานปลายมาก แนะนำว่าให้เอากล้องถ่ายรูปไปเองสักตัว เพราะไกด์ชาวเกาหลีที่ไปด้วย จะบอกว่าเป็นช่างภาพ ไม่มีรายได้ แค่มาช่วยเฉยๆ แต่สุดท้าย ก็ขายรูปแบบพร้อมใส่กรอบ อันใหญ่เลย รูปละ 20,000 วอน คิดเป็นเงินไทย รูปละ 600 บาท ใครพอใจจะซื้อก็ซื้อครับ ส่วนตัวมีกล้องอยู่แล้ว ถ่ายเองดีกว่า
สถานที่แรกที่ไกด์จะพาไปคือทานข้าวก่อนครับ กว่าจะถึงจริงๆก็เที่ยงแล้วมื้อแรกเป็นชาบูชาบูสไตล์เกาหลี เป็นร้านที่รับเฉพาะทัวร์เท่านั้น ไม่มีชื่อหน้าร้าน อาหารในหม้อประกอบด้วย หมูสันนอก วุ้นเส้นเกาหลี เห็ดหลากชนิด ผักกาดขาว และเต้าหู้ทอด ราดด้วยซุปกระดูกหมู รสชาติคือสุกี้บ้านเราครับ รสจืด หอมกลิ่นซุป เต้าหู้ทอด หวานเห็ดและผัก ไม่มีน้ำจิ้ม ทานเคียงกับกิมจิ ไชเท้าดอง ถั่วปรุงรส และกระเทียมดอง แต่ยังดีไกด์เราเตรียมน้ำจิ้มสุกี้พันท้ายมาให้แล้ว รอดตายไป 1 มื้อครับ เห็นเพื่อนร่วมทัวร์แต่ละคนสีหน้าไม่สู้ดีนักเท่าไหร่ แต่สำหรับผมทานได้นะ ไม่แย่ แต่ก็ไม่ได้ชอบอะไร

ขึ้นรถมาถึงก็แจกน้ำคนละ 1 ขวด ยี่ห้อ Lotte โดยขวดนี้ทานทั้งวันนะ แต่ว่าตามจุดต่างๆที่แวะนั้นส่วนใหญ่จะมีตู้กดน้ำสะอาดให้เติมตลอด สาเหตุที่ให้แค่ขวดเดียวเพราะน้ำเปล่าที่นี่ขวดละ 700 วอน หรือ 21 บาทไทย ค่อนข้างแพงเลย
สถานที่ท่องเที่ยวถัดไปคือหมู่บ้านยุโรป Provence โดยช่วงฤดูใบไม้ผลิจะมีสวนดอกไม้สวยๆให้เราถ่ายรูปด้วย แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรมากนัก เป็นร้านค้า ร้านกาแฟ ตกแต่งสไตล์ยุโรป โดยเก็บภาพบรรยากาศมุมต่างๆมาฝากกัน ขอบอกนิดนึงว่าตรงจุดที่รถทัวร์จอดนั้นเป็นลานจอดรถ ต้องเดินลงมาด้านล่างจะมีร้านค้าน่ารักๆถ่ายรูป หรือเข้าไปซื้อของได้มากมาย คล้ายอเวนิวบ้านเรานั่นและแต่อยู่กลางภูเขา ดูมีสเน่ห์ไปอีกแบบ
นั่งเครื่องมานาน บวกกับเวลาของที่นี่เดินเร็วกว่าบ้านเรา มีอาการเหนื่อยเพลียต้องหาของหวานเพิ่มพลังสักหน่อยกับร้าน Cafe Lucycato เห็นที่ร้านนี้มีเมนูแปลกอย่างบิงซูมาการองอลังการมาก บรรยากาศร้านก็น่านั่ง ตกแต่งด้วยอิฐเปลือยสลับกับไม้สไตล์ยุโรป เหมาะสมแก่การนั่งเล่นกินบิงซู แต่เวลาเราไม่น่าพอ เลยสั่งขนมไป 3 อย่าง อย่างมาการองไส้แครนเบอรี่ แป้งหนึบกรอบ ไส้หวานหอมกลิ่นครีมตัดด้วยรสเปรี้ยวของแยม เอแคลร์ไส้เยอะวนิลากลิ่นหอมแป้งสัมผัสกรอบแปลกดี และไอศครีมโยเกิร์ตบลูเบอรี่ ใส่มาการองกรอบๆลงไปด้วยเพิ่มสัมผัสใหม่แปลกดี ทั้ง 3 นั้นรสค่อนข้างหวาน คนชอบทานหวานน้อยอาจจะไม่ค่อยชอบ แต่โดยรวมแล้วเราชอบนะ

ก่อนขึ้นรถเพื่อจะเดินทางไปที่อื่นต่อ ก็พบกับรถยนต์ของคนที่มาเที่ยวจอดอยู่ ต้องบอกก่อนว่า ที่ประเทศเกาหลีใต้นั้น มีความชาตินิยมสูงมาก สินค้าไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า รถยนต์ เครื่องสำอางค์ ต่างมีแบรนด์เป็นของตัวเอง แล้วคุณภาพดีด้วย แต่การที่เอารถรุ่นเดียวกัน สีเดียวกัน มาจอดเรียงกันในสถานที่แบบนี้ เป็นสิ่งที่เห็นได้ไม่บ่อยในบ้านเราอย่างแน่นอน
รีบเดินขึ้นรถต่อไปเราจะไปกันที่ Paju Premium Outlet บรรยากาศคล้ายๆ Premium Outlet บ้านเราแถวอยุธยา หัวหิน แต่ว่ามีแบรนด์เยอะกว่า กว้างมาก และเป็นระดับ Hi End ซะมาก ใครตั้งใจจะซื้อสินค้าที่นี่ก็ซื้อได้ครับ ราคาถูกกว่าที่ Shop แน่นอน แต่เราอ้วนใส่อะไรไม่ได้ก็เดินเล่นวนไปจ้า ที่นี่นอกจากเสื้อผ้าแล้วก็มีของกิน ร้านอาหาร สนามเด็กเล่น เหมือนเป็นที่พักผ่อนและช็อปปิ้งไปในตัว
เข้าสู่มื้อเย็น อาหารก็คล้ายมื้อแรกเรียกว่าหม้อไฟพูลโกกิ ในหม้อมีหมูหมัก วุ้นเส้นเกาหลี ถั่วงอกหัวโต เห็ดเข็มทอง เพิ่มพิซซ่าเกาหลี ต๊อกโปกี และยำสาหร่ายคลุกน้ำมันงา เครื่องเคียงมีกิมจิ ไชเท้าดอง ลูกชิ้นปลาผัด ถั่วงอกหัวโตผัดเกลือ เติมได้ทุกอย่างจนกว่าจะอิ่ม รู้สึกมีรสชาติมากกว่ามื้อแรกขึ้นเล็กน้อย แต่ลูกทัวร์คนอื่นก็ต้องพึ่งพาน้ำจิ้มสุกี้พันท้ายอยู่ดี ร้านอาหารก็เป็นร้านรับเฉพาะทัวร์อีก อยู่ชั้น 3 ต้องขึ้นลิฟต์ขึ้นไป บางคนก็กินนิดเดียวแล้วลงมาซื้อของอย่างอื่นทานที่ร้านสะดวกซื้อ CU ด้านล่างแทน แล้วแต่คนชอบนะ เมื่อเทียบกับมื้อแรกถือว่าดีขึ้น
ระหว่างทางกลับโรงแรม รถทัวร์ของเราขับผ่านชายแดนระหว่างเกาหลีใต้ และเกาหลีเหนือ มีการป้องกันด้วยรั้วลวดหนามตลอดแนว และมีทหารประจำการอยู่ในป้อมทุกจุด ถ่ายบรรยากาศมาให้ชมกันครับ
เดินทางไปยังที่พัก วันนี้เราพักที่ซูวอน โรงแรม MJ Hotel ห้องใหญ่ เตียงนุ่ม มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ที่แปลกคือ มี Hair Spray ให้ใช้แต่งผมด้วย ดีไปอีก ส่วนรอบนอกของโรงแรมนั้นเป็นสถานที่ท่องเที่ยวกลางคืน แตโรงแรมเก็บเสียงดีมากเงียบสนิทไม่มีเสียงรบกวนเลย ราคาโรงแรมใน Agoda ราคาไม่ถูกนะครับ รวมกับรายการทัวร์แบบนี้ ได้ห้องกว้างขนาดนี้ คุ้มค่ามาก

เดินออกมาหาอะไรทานเพิ่มหลังจากที่ทานแต่ของต้มๆมาทั้งวัน ย่านนี้คนคึกคักในวัน ศุกร์ เสาร์ ช่วง 22.00 เป็นต้นไป เห็นว่าเปิดถึงเช้า ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่น วันทำงาน มากินดื่มเที่ยว เราก็ถือโอกาสหาของกินซะเลย เป้าหมายแรกคือ ร้านขาหมูเกาหลี ร้านชื่ออะไรไม่รู้แต่มีรูปขาหมูอยู่ เดินเข้าไปสั่งแบบงงๆ
คุณป้าเจ้าของร้านมารับออเดอร์เอง ต้องเปิด Google Translate คุยไปด้วย ถึงจะสื่อสารกันได้ บริการอย่างดีทั้งหยิบน้ำและทำการเสิร์ฟเราเองทั้งหมด ยิ้มแย้มตลอด สั่งขาหมูไปตรงส่วนเนื้อ ได้ส่วนคากิมาซะงั้น แต่ก็ไม่เป็นไรลองชิมดู ขาหมูของที่นี่เสิร์ฟมาในกระทะร้อน พร้อมเครื่องเคียงเยอะมาก แถมเติมได้ตลอด ขาหมูตุ๋นมานุ่ม กลิ่นหอมซีอิ๊ว เค็มอ่อนๆ ทานกับเครื่องเคียวที่ให้มา ทั้งกิมจิ ไชเท้าดอง ยำผักเกาหลี น้ำจิ้มเต้าเจี้ยว เคียงด้วยกระเทียมสด อร่อยมาก ซุปที่ให้มาเป็นผักใส่เต้าเจี้ยว รสชาติพอใช้ ส่วนน้ำจิ้มกุ้งดองนั้นเค็มไปหน่อย แต่โดยรวมแล้วรสชาติดีครับ ชอบสุดร้านนี้คือกิมจิ กับไชเท้าดอง ทานกับข้าวก็อร่อยแล้ว ยิ่งกินกับคากิยิ่งอร่อยมาก ค่าเสียหายโดนไป 21,000 วอน ถือว่าแพงนะ แต่ทริปนี้ยอมรับว่าร้านนี้อร่อยสุดครับแนะนำ ร้านอยู่สี่แยกหน้าโรงแรม MJ เลี้ยวขวาก็ถึงแล้ว

เดินเล่นตามถนนสายนี้ต่อ สังเกตุว่าร้านอาหารปิ้งย่าง หรือกุ้งย่างที่นี่ได้รับความนิยมมาก คนแน่นร้านจนต้องต่อคิวเลยทีเดียว
ก่อนกลับที่พักเติมพลังด้วยของกินจากร้าน GS 25 ที่เกาหลีนี่เรียกได้ว่าเป็นร้านสะดวกซื้ออันดับ 1 ของที่นี่ได้เลยมั้ง มีทุกที่ทุกแห่งหน ของกินเยอะมาก เห็นมีไก่ทอดเกาหลีขายด้วย ราคา 9,000 วอนเราต้องเอาไปเข้าไมโครเวฟเองนะครับ ที่นี่ไม่มีบริการอุ่นให้ วิธีใช้ไมโครเวฟที่นี่ก็ไม่ยาก กดตามตัวเลขแล้วก็ Start ดูกำลังวัตต์สูงเป็นหลักครับเพราะไมโครเวฟที่ร้านแรงกว่าไมโครเวฟทั่วไป
เช่นไก่ทอดนี้ต้องเวฟ 1000 วัตต์ 2 นาที 40 วินาที ก็กด 1 นาที 30 วินาที > 1 นาที > 10 วินาที ก็ได้ทานแล้วครับ รสชาติไก่ทอดก็หวานๆครับ ซอสเหนียวนิดๆ แป้งไม่กรอบ ไม่เผ็ดมาก ไม่ได้อร่อยมาก แต่แก้อยากได้ มีการยัดไส้มันฝรั่งทอดด้านล่างมาแทนชิ้นไก่ซะด้วย เนียนเชียว ตั้งเป้าหมายต่อไปคือต้องหาร้านไก่ทอดจริงๆให้ได้

ปิดท้ายด้วยนมกล้วยอันขึ้นชื่อ รสชาติไม่ต่างจากไทยครับ แต่ราคาถูกกว่า ขวดละ 1,200 วอน ข้อสังเกตอีกอย่างคือโซจูที่นี่ราคาถูกมาก ใครคิดจะเมาก่อนนอนแนะนำเลยครับ ขวดละ 1,550 วอน ราคาถูกมาก ในไทยราคาไม่ต่ำกว่า 150 - 200 บาท ไม่แปลกใจว่าทำไมคนที่นี่มักทานโซจูกันบ่อยๆ เพราะอร่อยและราคาถูกนี่เอง
สำหรับวันนี้ขอตัวไปนอนก่อนนะครับ เที่ยวมาทั้งวันแล้ว นอนบนเครื่องมาแปปเดียวเอง เพลียมาก พักเอาแรงก่อน แล้วค่อยมาต่อทัวร์เกาหลีวันที่ 2 กับตอนต่อไปครับ
อ่านรีวิวตอนที่ 2 >>> https://bit.ly/2NYhwWo
อ่านแล้วสนุก รบกวนกดไลค์เราที่เพจ FB ของเราด้วย
> www.facebook.com/FoodAddictsThai <
จะได้ไม่พลาดรีวิวใหม่ๆของเรานะ 😘😘😘