Food Addicts - เสพติดการกิน
รีวิว Mix Mart ร้านยากินิคุ-ชาบูในรูปแบบซูเปอร์มาร์เก็ต มีวัตถุดิบทุกอย่างให้เลือกครบจบในร้านเดียว !
อัปเดตเมื่อ 15 มิ.ย. 2564
หลายคนคงจะคุ้นกับร้านปิ้งย่าง-ชาบูแบบ A La Carte ไม่ก็บุฟเฟ่ต์ที่ปัจจุบันเปิดกันเยอะมากๆ แต่วันนี้ผมจะพาทุกคนมารีวิวร้านที่มีแนวคิดใหม่ไม่เหมือนใคร ถ้าให้นิยามสั้นๆนั่นคือ "ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่รวบรวมวัตถุดิบอุปกรณ์สำหรับทานปิ้งย่าง-ชาบูแบบครบวงจร" แค่ชื่อร้านก็งงแล้วนั่นคือ "Mix Mart" ฟังดูไม่น่าใช่ร้านอาหารเลยตอนรุ่นน้องผมชวนไปทานด้วยกัน โดนหลอกล่อด้วยเนื้อ Kagoshima Wagyu A5 ราคาขีดละ 490 บาท !! (ถูกกว่าร้าน ดองกี้ซะอีก)เลยตัดสินใจว่าจะมาทานร้านนี้ด้วยอย่างไม่ลังเลใดๆทั้งสิ้น สถานที่ตั้งอยู่บนถนนบางแวกใกล้ๆกับพุทธมณฑลสาย 2 มองป้ายริมถนนแว็บแรกนึกว่าร้านขายเนื้อวัวต้องมองดีๆหน่อยถึงจะเห็นคำว่า Yakiniku & Shabu รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนเป็นบ้านธรรมดาๆนำมาเปิดเป็นร้านอาหารแต่ก็พอมีที่จอดรถให้จอดได้ประมาณ 8-9 คัน ซึ่งเราได้จองที่นั่งมาก่อนแล้วเพราะภายในร้านมีโต๊ะน้อยมากๆ(รุ่นน้องผมจัดการให้เรียบร้อย) อยากรู้เหมือนกันว่าที่นี่เขามีแนวคิดที่แปลกแตกต่างจากร้านอื่นยังไงบ้าง เดี๋ยวเข้าเราไปทำความเข้าใจด้านในร้านกันทีละส่วนกันเลยครับ
เปิดประตูเข้ามา "นี่มันร้านขายของชำไม่ใช่ร้านอาหาร" เหมือนถูกพามาผิดร้านแต่นี่แหละคือร้านอาหารโดยวิธีการเริ่มสนุกกับแนวคิดของที่นี่คือ คุณสามารถหยิบของทุกๆอย่างจากร้านนี้ตรงจุดไหนก็ได้แล้วค่อยมาคิดเงินทีหลัง ไม่ว่าจะเป็นของสด-ของแห้ง-เครื่องดื่ม-ขนม-ของเล่นเด็ก โดยผลิตภัณฑ์ที่ทางร้านคัดนำมาขายส่วนใหญ่ก็จะเป็นของนำเข้าไม่มีขายในซุปเปอร์มาร์เก็ตอื่นๆหรือหายากมากจนต้องมาซื้อที่นี่ หากใครเป็นสายปิ้งย่าง-ชาบูกำลังจะหาซื้อเตาหรืออุปกรณ์อื่นๆก็มีให้เลือกครบวงจร เรียกได้ว่ามาถึงร้านนี้แล้วสามารถซื้อของสดต่างๆทานที่ร้านหรือแบกกลับไปปาร์ตี้กับคนที่บ้านได้เลย ส่วนของสดต่างๆภายในร้านจะดีงามขนาดไหนเดี๋ยวเราไปเปิดที่ตู้เย็นพร้อมกันครับ
เริ่มจากโซนของสดแรกเป็นเส้นมาม่าเกาหลีโดยที่แต่ละรูปแบบมีราคาติดเอาไว้หยิบได้ตามใจ เปิดตู้เย็นออกมาก็พบกับเนื้อวัวคุณภาพระดับพรีเมี่ยมทั้งเนื้อออสเตรเลียริปอาย/คาโกชิม่าวากิวริปอาย A5/เนื้อสันในออสเตรเลีย/เนื้อไทยพรีเมี่ยม/เนื้อโคขุนหลากหลายส่วนไปจนถึงเนื้อวัวธรรมดา ทุกอย่างถูกชั่งและแพ็คไว้เรียบร้อยแล้วมีราคาที่พิมพ์เป็นบาร์โค้ดติดไว้ทุกชิ้นหยิบตามงบในกระเป๋า ตู้ต่อมามีไข่หวานเสียบไม้ย่าง/ปลาหมึกแดดเดียว/หมูมีส่วนสันนอก-สันคอและสามชั้นแบ่งออกไปอีก 2 เกรดคือคุโรบูตะและหมูปล่อยเลี้ยงทุ่ง ตู้ถัดไปเป็นของสดนำเข้าจากญี่ปุ่นทั้งหอยเชลล์ฮอกไกโด/ปลาไหลญี่ปุ่น/ปลาไข่/ชีส/ข้าวโพดคลุกเนย/ยำสาหร่ายผสมหูฉลาม/คานิมิโสะ/ไก่ย่างเทริยากิ/หนังไก่เสียบไม้/ไก่ย่างผสมต้นหอมญี่ปุ่น/เนื้อไก่ย่างเสียบไม้/เกี๊ยวซ่า/กิมจิ/ลิ้นหมูสไลด์/กระดูกอ่อนไก่เสียบไม้ นอกจากนี้ยังมีอูด้ง/ไข่ไก่/เนย/วาซาบิ/เต้าหู้ไข่ส่วนของหวานมีไอศครีมโมจิหลากหลายรสชาติหยิบเองได้เลยจ้า
ตู้ถัดมาเป็นวัตถุดิบตักเองแบบชั่งกิโลคล้ายๆกับเราไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตแต่ทุกถาดมีราคาไม่เท่ากัน โดยมีสติกเกอร์กำกับสีเพื่อบ่งบอกราคาของแต่ละถาดคล้ายๆกับร้านซูชิจานหมุน โดยมีให้ตักทั้งลูกชิ้น/ปูอัด/ไส้กรอก/ตับ/หมู-ไก่หมัก/เบคอน/อาหารทะเล ราคาเริ่มต้นขีดละ 19 บาท แพงสุดคือกุ้งลายเสือตัวยักษ์ขีดละ 189 บาท ก็ถือว่าราคาสมเหตุผลดี นอกจากนี้ยังมีเตาให้ยืมไปทานที่บ้านได้ด้วยเงื่อนไขเป็นอย่างไรสอบถามทางร้านเองนะครับ
นอกจากเนื้อสัตว์แล้วก็ยังมีผักสดถูกแยกราคาแบบเดียวกันมีราคาขีดละ 19 บาท/29 บาท/แพงสุดขีดละ 59 บาท (ผักบัตเตอร์เฮด) ที่ร้านบอกว่าเป็นผักออแกนิกส์ถูกตัดแต่งแล้วจึงมีราคาสูงเป็นพิเศษ เมื่อดูครบรอบร้านก็ได้เวลาหยิบตักของสดต่างๆที่จะทาน เนื้อเป็นแพ็คสามารถหยิบไปที่แคชเชียร์ให้พนักงานคีย์ใส่ระบบแล้วก็นำไปใส่จานทันที ส่วนเนื้อที่ต้องช่างน้ำหนักเราต้องแยกจานตามสีสติกเกอร์ที่ร้านกำหนด เมื่อชั่งแล้วจะถูกคำนวณราคาออกมาเป็นบาร์โค๊ดที่แคชเชียร์สามารถบันทึกเข้าระบบได้ทันที ส่วนใครขี้เกียจเดินเลือกไป-มาก็สามารถสั่งได้จากใบเมนู 2 หน้าของทางร้านมีของสดครบทุกๆอย่างไม่ต้องเดินก้มหาให้เมื่อย เดี๋ยวน้องพนักงานเดินจัดเสิร์ฟให้ถึงโต๊ะเลยครับ
เมื่อเดินเลือกของทุกอย่างเสร็จแล้วก็รออาหารสดมาเสิร์ฟที่โต๊ะ โดยที่นั่งร้านนี้มีเพียงแค่ 5 โต๊ะเท่านั้น สำหรับปิ้งย่าง 4 ที่ชาบูอย่างเดียวอีก 1 ที่ ตรงผนังของร้านมีวิธีการปรุงน้ำซุปชาบูและน้ำจิ้มให้เลือกทานถึง 8 สูตร แต่จุดที่น่าตกใจกว่าคือเครื่องปรุงเยอะมากทั้งกระเทียมสด/พริกสด/ต้นหอม/โคชูจัง/เกลือสมุทร/เกลือชมพู/พริกไทย 3 สี/พริกไทยดำ/พริกไทยขาว/เกลือดำ/น้ำมะนาวและยังมีพริกไทยเขมรอีกด้วย พร้อมกับมีปุ่มกดเรียกพนักงานที่โต๊ะ (เพราะเป็นห้องแบบปิด) โดยวันนี้เราสั่งเป็นปิ้งย่างและชาบูทางร้านมีเตาอินดักชั่นพร้อมหม้อชาบูให้บริการ ส่วนน้ำซุปชาบูที่ร้านมีให้เลือกทั้งหมด 5 สูตรคือต้มยำ/ชาบูน้ำดำ/เย็นตาโฟ/น้ำใสและทงคัตสึ เราสามารถเลือกได้ 2 ช่องฟรีเฉพาะทานที่ร้านเท่านั้น ! ปกติน้ำซุปเข้มข้นราคาขวดละ 29 บาท ใครมีปาร์ตี้ชาบูที่บ้านแล้วขี้เกียจปรุงน้ำซุปเองก็ซื้อกลับไปผสมกับน้ำเปล่า 1 ลิตรได้เลย รออาหารมาเสิร์ฟให้ครบถ้วนพร้อมเปิดเตาย่างเตรียมตัวลุยแล้วครับผม
เมนูแรกเนื้อวัว "Kagosima Wagyu Ribeye A5" ขนาด 208 กรัม ราคา 1020 บาท ถือว่าราคาถูกเพราะผมเคยไปทานที่ดองกี้ขีดละ 600 กว่าบาท แต่ชิ้นนี้ราคาขีดละ 490 บาทเท่านั้น ! โดยวิธีการทานทางร้านแนะนำให้เราเปิดเตาย่างระดับร้อนที่สุด (เตาของที่นี่ถึงจะเป็นไฟฟ้าแต่นำเข้าจากเกาหลีไฟแรงสะใจสุดๆ) โรยด้วยเกลือสมุทรกับพริกไทยดำเล็กน้อยแล้วนำย่างให้เนื้อเปลี่ยนสีโดยการพลิกเพียงแค่ครั้งเดียว จะเอาเข้าปากเลยหรือทานคู่กับน้ำจิ้มยากินิคุรสหวานเค็มหอมโชยุใส่พริกสด/กระเทียมสดและน้ำมะนาวเล็กน้อยก็อร่อยนุ่ม/ไขมันฉ่ำแต่สดชื่น/มีกลิ่นหอมของเนื้อสุดผู้ดีตามแบบฉบับญี่ปุ่นดีงามสุดๆ ถาดต่อมาเป็น"เนื้อไทยพรีเมี่ยมสไลด์"ที่ร้านไม่ได้บอกว่าเป็นส่วนไหน (แค่เห็นว่าลายไขมันเนื้อสวยดีเลยหยิบมาด้วย) ขนาด 120 กรัม ราคา 200 บาท ย่างด้วยไฟแรงแบบเดียวกับเนื้อชิ้นแรกให้พอสุก รสชาติของเนื้อนี้ไม่ค่อยมีกลิ่นหอมของเนื้อหรือไขมันวัวและนุ่มจนเกือบเหมือนเนื้อหมักนุ่ม แต่ยังมีสัมผัสของความเป็นเนื้อวัวอยู่เล็กน้อย ถ้าจิ้มกับยากินิคุส่วนตัวว่าไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่เพราะกลิ่นเนื้อบางมาก แต่นำไปจิ้มกับซอสจิ้มแจ่วอีสานรสหวานเค็มหอมกลิ่นข้าวคั่วและสมุนไพรแบบไทยนี่เข้ากันได้แบบสุดๆเลยครับผม
มาร้านเนื้อย่างแต่หยิบปลาไหลย่างนี่คิดอะไรอยู่ ? ตอนแรกที่รุ่นน้องผมหยิบมาก็คิดแบบนั้นแต่พอมาย่างบนใบโฮบะดีๆแล้วนี่มัน.... ไม่กินจะเสียดายมากๆกับเมนู "ปลาไหลใบโฮบะ" ตัวใหญ่ขนาดนี้ 450 บาทเอง ถือว่าถูกมากเพราะไซส์นี้ถ้าร้านอาหารญี่ปุ่นอื่นต้อง 600-900 บาท อย่างแน่นอน ความช่างคิดของที่ร้านนี้คือเอาปลาไหลญี่ปุ่นวางบนใบไม้แล้วค่อยๆย่างไฟกลางทำให้ไขมันส่วนเกินของปลาไหลออกไป ตัวเนื้อไม่ไหม้และยังคงความชุ่มชื้นนุ่มฟูเอาไว้อยู่ ปลาไหลเนื้อนุ่มฟูฉ่ำซอสรสหวานเค็มกลมกล่อมสั่งมาทานคู่กับข้าวสวยญี่ปุ่นร้อนๆถูกกว่าภัตตาคารญี่ปุ่นแน่นอนครับ (ทานข้าวได้สัก 2-3 ถ้วยเพราะเข้มข้นมากๆ) เมนูพรีเมี่ยมถัดมาเป็นหอยเชลล์ฮอกไกโด 1 แพ็คบรรจุ 2 ตัวราคาแค่ 169 บาท ตกแค่ตัวละ 85 บาทเองถือว่าถูกมาก เพราะถ้าเทียบกับหอยนางรมสดไทยตัวละ 80-90 บาท แต่นี่แค่ 85 บาทได้ทานหอยเชลล์นำเข้าคุณภาพดีแถมย่างแล้วเนื้อไม่หด ด้านนอกๆตรงขอบที่เป็นเอ็นมีความกรุบกรอบส่วนเนื้อด้านในหวานฉ่ำมีกลิ่นหอมของเนื้อหอยเชลล์คล้ายกับหอยเชลล์ตากแห้งบางๆ จะย่างกับเนยแล้วโรยเกลือทานเลยก็อร่อยหรือจะจิ้มกับน้ำจิ้มที่มีให้เลือกถึง 8 สูตรคือ น้ำจิ้มยากินิคุ/น้ำจิ้มสุกี้โบราณ(อันนี้หอมกลิ่นข่าสดชื่นอร่อยมาก)/น้ำจิ้มงา(เป็นงาปั่นรสหวานมันหอมกลิ่นคั่วอ่อนๆ)/น้ำจิ้มซีฟู๊ด(เปรี้ยว-เผ็ดจี๊ดจ๊าดพริดสดและกระเทียมถึงใจ)/น้ำจิ้มพอนสึ(รสเค็ม-เปรี้ยวอมหวานนิดๆหอมกลิ่นคอมบุบางๆ)/น้ำจิ้มสุกี้สูตรกวางตุ้ง(รสหวานๆมีกลิ่นน้ำมันงากลมกล่อมไม่ฉุนจนเกินไป)/น้ำจิ้มแจ่วและน้ำจิ้มหมูกระทะ(หอมกลิ่นพริก-กระเทียมรสหวานอ่อนๆตัวน้ำจิ้มสัมผัสใสแต่รสชาติเข้มข้นแบบน้ำจิ้มหมูกระทะโบราณ) มีน้ำจิ้มเยอะเลือกเปลี่ยนรสชาติได้เรื่อยๆไม่มีเบื่อครับ
ด้วยความอยากลองและเห็นว่ามันเหลือแค่ตัวเดียวด้วยเลยตักมา"กุ้งลายเสือยักษ์" ขนาด 58 กรัม ราคา 110 บาท เป็นกุ้งลายเสือขนาดใหญ่พิเศษที่ตลาดหรือซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำขายกิโลกรัมละ 1600-1800 บาท แต่หากแค่อยากลองทานพอกรุบกริบที่มีขายขีดละ 189 บาท โดยที่ร้านได้แกะเปลือกออก-ตัดหัวทิ้งและเอาเส้นตรงกลางหลังกุ้งออกให้อย่างดีเลยบวกราคาขึ้นมาอีกนิดหน่อย ส่วนตัวเคยทานกุ้งลายเสือเป็นๆที่เกาะภูเก็ตมาก่อนต้องบอกเลยว่าใหญ่และสดจริง จุ่มชีสทานก็ได้ความหอมมันผสมกับความกรุบหวานของเนื้อกุ้งแบบเต็มๆคำแถมยังคงเหลือส่วนหางเอาไว้จิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู๊ดได้อีกตัวใหญ่เคี้ยวสะใจสุดๆครับ มาต่อกันด้วย"คานิมิโสะ"ที่ให้มันปูมาเต็มกระดองแถมโรยด้วยต้นหอมและไข่ปลาบินอัดแน่นๆแบบนี้แค่ 189 บาท รสชาติมันเข้มข้นแต่ไม่หนืดติดลิ้นหอมกลิ่นมันปูมีไม่มากเกินไปจนรู้สึกเหม็น ตัดรสด้วยต้นหอมและกรุบกรอบไข่ปลาบินปรุงรส ตักทานเปล่าๆก็อร่อยวางบนข้าวสวยญี่ปุ่น (25 บาท) แล้วคลุกก็ดีงาม หรือข้าวผัดกระเทียม (35 บาท) เพิ่มความหอมจากเนย-กระเทียมยิ่งเข้ากันสุดๆ
หมดจากเมนูพรีเมี่ยมแล้วก็ตักเนื้อสัตว์เมนูธรรมดาๆมาทานต่อเริ่มจาก "ข้าวโพดคลุกเนย" ราคา 39 บาท เป็นข้าวโพดคลุกเนยและเบคอนรสหวานจนต้องเรียกน้องพนักงานมาถามว่าใส่น้ำตาลหรือเปล่าเพราะรสหวานมากๆแต่ใส่เบคอน สรุปคือไม่ใส่น้ำตาลเพิ่มเป็นความหวานจากข้าวโพดตามธรรมชาติดีเกินคาด "ชีสขูด"ราคา 49 บาท เป็นชีสมอสซาเรลล่าหอมมันนมมีความเค็มเล็กน้อยไม่เหนียวเหมือนเคี้ยวหมากฝรั่ง "เนื้อสันคอและเนื้อสันนอกหมัก" ก็ตักมา 3 สูตรคือหมักนุ่ม/หมักงาและหมักหมาล่า ตักมาแบบรวม 364 กรัม ราคาขีดละ 49 รวม 179 บาท เนื้อหมูสันนอกที่นี่หมักมานุ่มแต่ยังมีสัมผัสได้เคี้ยวอยู่ไม่ต่างจากสันคอหมูที่มีไขมันแทรกตามปกติ แต่ชอบสุดคือหมูหมักงาหอมกลิ่นน้ำมันงาและงาขาวคั่วอ่อนๆทานกับน้ำจิ้มหมูกระทะคือเด็ดสุดๆ หมูนุ่มสูตรปกติถือว่าธรรมดาส่วนหมาล่ามีกลิ่นคล้ายหมูสะเต๊ะผสมพริกหอมๆมีรสเผ็ดอ่อนๆแต่ไม่เผ็ดชาลิ้น ใครไม่ชอบหมาล่าเผ็ดชาลิ้นน่าจะถูกใจครับผม จานต่อมาตักรวมๆทั้งเบคอน/ไส้กรอกไก่หนังกรอบ/ไส้กรอกชีสไบท์/เบคอนพันเห็ดเข็มทอง/หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์และเนื้อปลากระพง จานนี้ 546 กรัม ราคาขีดละ 69 รวม 377 บาท เบคอนเป็นแบบไขมันน้อย-เค็มน้อยหอมกลิ่นรมควัน/ไส้กรอกรมควันหอมหนังรอบสมชื่อ/ไส้กรอกชีสรสชาติเหมือนซื้อที่ร้านสะดวกซื้อ/เบคอนพันเห็ดเข็มทองมีกลิ่นหอมเหมือนเบคอนรมควันแบบแผ่นปกติอัดเห็ดเข็มทองมาแน่นเคี้ยวเต็มคำ/หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ตัวใหญ่เนื้อแน่นเต็มฝาไม่มีกลิ่นหืน/ปลากระพงหั่นชิ้นสดแน่นเหมือนเพิ่งแล่ออกมาจากตัวปลาคุณภาพดี ถาดสุดท้ายก็คือเหล่าลูกชิ้น 214 กรัม ราคาขีดละ 49 รวม 105 บาท โดยรวมลูกชิ้นก็คุณภาพดีเนื้อแน่นไม่มีกลิ่นตู้เย็นมาแทรกครับผม
แบ่งเวลามาที่หม้อชาบูบ้างโดยทางร้านได้เตรียมหม้อ 2 ช่องวางบนเตาไฟฟ้าเอาไว้เราแค่เทหัวน้ำซุปเข้มข้นที่สั่งมาลงไปก็พร้อมทานได้ทันที โดยหัวน้ำซุปเข้มข้นที่พวกผมเลือกวันนี้คือซุปใสหอมกลิ่นคอมบุและคัตสึโอะหวานหอมส่วนอีกซุปเป็นชาบูแบบน้ำดำมีเบสรสชาติคล้ายๆกันแต่หวานและหอมกลิ่นโชยุมากกว่า ส่วนผักสำหรับต้มและเห็ดเลือกมาแบบราคาขีดละ 19 บาทและขีดละ 29 บาทปนๆกัน ส่วนเนื้อสัตว์ที่เอาไว้ทานกับชาบูหยิบ 1 แพ็คเป็น "หมูสันคอคุโรบูตะ" ราคาถาดละ 89 บาท ลวกพอสุกเนื้อนุ่มเด้งทานกับน้ำจิ้มพอนสึหรืองาก็อร่อยสไตล์ญี่ปุ่นดีครับผม
ชุดสุดท้ายอยากอร่อยสไตล์เกาหลีเลยจัด "สามชั้นปล่อยทุ่ง" ราคาชุดละ 159 บาท เป็นสามชั้นชิ้นหนาสำหรับย่างแบบเกาหลี วิธีการย่างก็คือเปิดเตาให้ร้อนที่สุดก่อนจะย่างจนเป็นสีเหลืองทองแล้วค่อยตัดเป็นชิ้นๆด้วยกรรไกร เสิร์ฟมาพร้อมกับซัมจังรสหวานเค็ม แล้วนำไปห่อด้วย ผักกาดหอมขีดละ 29 บาท/กระเทียมฝานถ้วยละ 20 บาท/ผักบัตเตอร์เฮด 38 กรัม 23 บาท /พริกชี้ฟ้าเขียว 3 เม็ดใหญ่/กิมจิถุงละ 69 บาท นำทานเคียงกับหมูสามชั้นไล่ทุ่งที่มีปริมาณชั้นเนื้อ-ไขมันสวยและไม่ติดหนังแข็งได้อารมณ์แบบเกาหลีสุดๆ ปิดท้ายด้วยน้ำใบเตยหอมไม่หวานราคาเหยือกละ 20 บาท เป็นเครื่องดื่มพิเศษที่ไม่มีแช่ในตู้เย็นถ้าหากอยากดื่มต้องมาทานที่ร้านเท่านั้น(ไม่มีบรรจุขวดขาย)
ปิดท้ายด้วยไอศครีมโมจิวันนี้สั่งมาชิมแบ่งกัน 4 รสชาติคือรสมะม่วงหวานอมเปรี้ยวหอมกลิ่นมะม่วงสดชื่น/รสสตรอเบอรี่เปรี้ยวอมหวานหอมกลิ่นนมอ่อนๆ/รสมะพร้าวเข้มข้นหอมมันกะทิ/รสวนิลาหอมนุ่มนวลเข้ากับนม แป้งที่ห่อด้านนอกเคี้ยวเหนียวหนึบเพลินๆดี ของหวานไม่ได้หมดเพียงแค่นี้ยังมีเยลลี่แบบพิเศษให้เฉพาะลูกค้าที่มาทานในร้านเท่านั้น วันนี้มีรสเลมอนกับสตรอเบอรี่เสิร์ฟมาเย็นๆ รสชาติหวานอมเปรี้ยวช่วยทำให้กระปรี้กระเปร่าดีมากครับ

มื้อนี้เรามากัน 2 คนสั่งกันแบบบ้าคลั่งรวมราคาทั้งหมด 3,598 บาท แบบไม่มี Vat. และ Service Charge ใดๆมากวนใจ ถือว่าไม่แพงเลยเพราะว่าเราได้ทานแต่วัตถุดิบคุณภาพระดับพรีเมี่ยมหลากหลายชนิดในมื้อเดียว ทั้งเนื้อ Kagoshima ระดับ A5/กุ้งลายเสือตัวใหญ่/ปลาไหลญี่ปุ่นย่างทั้งตัว/เนื้อวัวไทยพรีเมี่ยม/หอยเชลล์ฮอกไกโดและมิโสะมันปู วัตถุดิบเหล่านี้ถ้าไปทานแถวทองหล่อ-สุขุมวิท มีกระเป๋าฉีกแน่นอน ข้อดีของร้านนี้อีกอย่างคือมีแค่ไม่กี่โต๊ะทำให้การดูแล-แนะนำวัตถุดิบ-วิธีการทานให้อร่อยเป็นไปได้อย่างทั่วถึง หากลูกค้าเยอะที่ร้านนี้ไม่มีกิจกรรมใดนอกจาก WiFi ฟรีให้ใช้บริการระหว่างรอ แนะนำว่าให้จองก่อนมาจะดีที่สุดครับ ใครอยากทานเมนูชาบู-ปิ้งย่างระดับพรีเมี่ยมแบบกระเป๋าไม่ฉีกและก็ไม่ต้องตรงเข้าไปในตัวเมืองเจอรถติดเพื่อให้ได้ทานวัตถุดิบคุณภาพสูง ร้าน"Mix Mart" นี่ถือว่าตอบโจทย์อย่างแน่นอนครับ รับคะแนนความอร่อยและความคุ้มค่าไป 5 ดาวเต็มเลยครับผม 🌟🌟🌟🌟🌟 ดีงามสุดๆ
พิกัด : เลขที่ 71/227 ถนนบางแวก แขวงบางไผ่ เขตบางแค กรุงเทพมหานคร 10160
เปิดให้บริการทุกวัน(ยกเว้นวันอังคาร) ตั้งแต่เวลา 12.00-22.00 น. โทร. 02-496-0123
Facebook : https://www.facebook.com/mixmart888/
อ่านรีวิวแล้วชอบรบกวนช่วยกด Share ให้เพื่อนๆอ่าน
แล้วตามไปกดถูกใจเพจของเราที่นี่ > https://www.facebook.com/FoodAddictsThai/ <
และอย่าลืมกด See First เพื่อที่จะได้ไม่พลาดรีวิวใหม่ๆของเรานะ 😘😘😘